วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2551



TO



ขอสุขสันต์ วันเกิด ประเสริฐสุด
เปรียบประดุจ น้ำค้าง กลางเวหา
บริสุทธิ์ สวยใส นัยนา
ทั้งชีวา มีสุข สิ้นทุกข์ทน
ขออายุ คงมั่น ขวัญสถิตย์
เพราะด้วยฤทธิ์ เทวา มาทุกหน
ประทานพร ให้ด้วย ทั้งช่วยดล
สรรพ์มงคล ดีเลิศ บังเกิดพลัน
ขอคุณงาม ความดี อย่าหนีจาก
สิ่งที่พราก จากไป เหมือนได้ฝัน
จงกลับคืน ฟื้นอยู่ มาคู่กัน
เหมือนดั่งจันทร์ นั้นหนา กับราตรี
ขอพระธรรม ค้ำจุน อย่าขุ่นข้อง
นั้นควรต้อง น้อมไว้ ใส่เกศี
อันความรู้ คู่ไป ในความดี
ก็จะมี แต่สุข ทุกวันวาร

สุขสันต์วันเกิดค่ะอาจารย์
ด้วยความเคารพรัก
จากลูกศิษย์ทุกบล๊อกค๊า...คับ

ขอเชิญร่วมอวยพรอาจารย์ค่ะ...ครับ




วันพุธที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2551

บั้นท้าย (ก้น) ใครคิดว่าเป็นส่วนที่ไม่สำคัญ

คุณผู้ชายครับ เคยใส่ใจเรื่องก้นของคุณเองบ้างรึเปล่าครับ (อย่าเพิ่งคิดนะครับ ว่าผมผิดปกติอะไรรึเปล่า) เรื่องแบบนี้คุณผู้ชายน้อยคนคงอาจรู้มาบ้าง แต่ผมมั่นใจเลยว่าผู้ชายไทยกว่าร้อยละ 80 ยังไม่มีความรู้ในเรื่องนี้กันอย่างจริงจัง



รู้หรือไม่ว่า ผู้หญิงเขามองอะไรจากคุณเป็นอันดับต้นๆ นอกจากบุคลิกภาพ รูปร่างหน้าตา หากแยกเป็นส่วนประกอบของร่างกายคุณคงจะเดากันไม่ออกว่าส่วนไหนที่ผู้หญิงให้ความสนใจเป็นพิเศษ ผู้หญิงต่างชาติเกินกว่าครึ่ง คุณเชื่อหรือไม่มองที่ก้นผู้ชายก่อนเป็นอันดับแรกก่อนที่จะเข้าไปทำความรู้จัก

คุณรู้รึเปล่าว่า แบรด พิต ทำไมถึงเป็นที่หมายปองของสาวๆ ทั่วโลก เมื่อคุณออกมาจากโรงหนังเรื่อง Troy ลองย้อนกลับไปฟังเสียงรอบข้างของคุณสิครับ ผมยังจำได้ไม่เคยลืม ผู้หญิงเกือบทั้งโรงหนังต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ ดูก้น แบรต สิน่า…” นี่แหละครับที่เขาเรียกว่าเสน่ห์ดึงดูด เพียงแค่ฉากนี้ทำให้แบรต พิต กลับมาเป็นขวัญใจของสาวๆทั่วโลกอีกครั้ง คุณอาจจะบอกว่าหน้าตาก็มีส่วน แต่เชื่อเถอะครับ ว่าโลกเปลี่ยนไปแล้ว



ณ ตอนนี้ ค่านิยมการมองบั้นท้ายผู้ชายเป็นอันดับแรก เริ่มเป็นค่านิยมที่ลุกลามมาสู่ผู้หญิงไทย การมองบั้นท้ายชายหนุ่มนั้นเป็นสิ่งที่ผู้หญิงสามารถพิจารณาได้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นคนดูแลตนเองมากน้อยเพียงใด รวมถึงการใส่ใจในเรื่องที่เล็กน้อย ทำให้เป็นจุดดึงดูดให้ผู้หญิงเข้ามาหาได้มากเช่นกัน

เรื่องก้น นอกจากจะเป็นสิ่งที่ดึงดูดสาวๆ ได้ดีแล้ว อีกหนึ่งคุณสมบัติหากคุณเป็นคนที่มีรูปของก้นสวย นั่นก็คือ คุณเป็นคนที่สามารถใส่กางเกงให้ดูดีได้ เพราะตามสรีระของกางเกง มีส่วนที่ตัดเผื่อไว้สำหรับบั้นท้าย หากคุณเองเป็นคนไม่มีก้น (ที่ถูกเรียกว่า ตูดแฟ๊บ ตูดปอด) หรือมองเห็นคนไม่มีก้นใส่กางเกง คุณก็จะเห็นภาพที่ไม่น่าประทับใจนัก กางเกงก้นย้อยไม่ชวนมอง อีกหนึ่งกรณีคือ คนที่มีก้นย้วย คือไม่มีกล้ามเนื้อบริเวณบั้นท้าย เมื่อใส่กางเกงที่เน้นช่วงก้น อาจจะไม่ชวนมองนัก คุณลองคิดภาพลูกโป่งเด้งไปมาสิครับ คงไม่น่าอภิรมย์สักเท่าไหร่ (ว่ามั้ยครับ)


คอลัมน์นี้ ผมจึงอยากจะนำเสนอท่าบริหารเพื่อสร้างกล้ามเนื้อบั้นท้าย (ก้น) ของคุณ เพื่อเสริมสร้างบุคลิก (ไม่ได้แนะนำเอาไปใช้ประโยชน์ทางอื่นนะครับ อย่าเข้าใจผิด) แต่มีข้อแม้ว่าคุณต้องฝึกทุกวัน ประมาณ 1-2 เดือน คุณก็จะได้เห็นถึงความแตกต่างของบั้นท้ายของคุณเอง

ท่าเหล่านี้คุณไม่จำเป็นต้องมีอุกปกรณ์ใดๆทั้งนั้น ขอเพียงความตั้งใจ เท่านี้ก็สามารถเสริมบุคลิกคุณได้แล้ว

ท่าที่ 1
นอนคว่ำ ยกเท้าสองข้างให้สูงจากพื้น สูงเท่าที่จะทำได้ สลับกันหรือพร้อมๆ กันก็ได้ ให้ได้จำนวนมากที่สุด ทำสัก 3-4 set

ท่าที 2
นอนหงายใช้มือผลักบั้นท้าย ให้ขาชี้ฟ้า แล้วใช้เท้าทำเหมือนการปั่นจักรยาน ทำให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เช่นกัน ทำสัก 3-4 set

เน้นย้ำนะครับ เพียงสองท่านี้ ทำทุกวัน เพื่อการเห็นผลที่ดีที่สุด อาจดูเหมือนง่ายนะครับ แต่ทั้งหมดนี้มันอยู่ที่ความตั้งใจของคุณเองว่าจะทำได้หรือไม่ ไม่มีใครสามารถบังคับคุณได้หรอกครับนอกจากตัวของคุณเอง (ใช่มั้ยครับ)

ขอบคุณที่มาข้อมูลจาก http://www.metro-society.com/howto/?id=2

วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2551

สาวเผย แผ่นหลัง โชว์ผิวเนียนเพิ่มเซ็กซี่


อกเหนือจากรูปร่างหน้าตา ทรวดทรงองค์เอวที่สาวๆ พิถีพิถันในการดูแลแล้ว แผ่นหลัง ก็เป็นอีกส่วนที่สาวๆ สมัยนี้ให้ความใส่ใจไม่น้อย เพราะแผ่นหลังก็เป็นอีกส่วนที่เสริมความเซ็กซี่ให้กับสาวๆ ถ้าแผ่นหลังที่โชว์ มีแต่ผด ผื่น สิว คราบไคล รอยด่างดำเต็มไปหมด คงไม่มีใครอยากมอง ดีไม่ดียังถูกตราหน้าอีกว่า...จะโชว์ทำไม!!

แต่ถ้าแผ่นหลังนวลเนียนน่าลูบไล้แล้วล่ะก็ เชื่อว่าทุกคนต้องเหลียวมอง

สาวๆ เขามีเคล็ดลับดูแลแผ่นหลังให้นวลเนียนเซ็กซี่ยังไง ลองไปฟังโดยสาวช่างจ้อ เก๋-ชลลดา เมฆราตรี ที่นอกจากจะหุ่นดีใส่ชุดรัดรูปแล้ว เธอยังมั่นใจโชว์แผ่นหลังให้คนเหลียวมองอีกด้วย บอกว่า

"เวลาไปงานเก๋จะโชว์ส่วนหลัง เพราะข้างหน้าเก๋ไม่ค่อยมีค่ะ (หัวเราะ) ซึ่งเก๋จะดูแลผิวพรรณเหมือนผู้หญิงทั่วไป เมืองไทยเป็นเมืองร้อน ผดผื่นก็มีบ้าง เก๋จะใส่เสื้อผ้าระบายอากาศและก็เข้าสปาขัดผิว บางครั้งก็ใช้วิธีพื้นๆ ทาคาราไมน์หรือแป้งน้ำแบบเด็กๆ ที่เก๋ผิวดีอาจเป็นเพราะได้เชื้อสายคนจีน ต้องยกความดีให้แม่ แม่ผิวดีมากๆ ค่ะ

"สาวหน้าฝรั่ง สา-มาริสา อานิต้า ยิ้มรับเมื่อถูกชมผิวสวย แล้วก็กล่าวว่า "รู้สึกดีนะที่คนมองว่าผิวสวย ถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง วิธีดูแลแผ่นหลังของสาก็ไม่มีอะไรมาก แค่อาบน้ำให้สะอาด ไปสปาขัดตัวในบางครั้ง ถามว่ามั่นใจแผ่นหลังหรือเปล่า มันเป็นช่วงๆ ช่วงไหนถ่ายละครอากาศร้อนก็จะเป็นผดผื่น แต่ช่วงไหนไม่ได้ถ่ายละครผิวจะเนียนสวยค่ะ"

ตั้งแต่พึ่งมีดหมอเสริมเต้า ดูว่าคุณแม่ บุ๋ม-ปนัดดา วงศ์ผู้ดี จะขยันแต่งตัวเปิดหน้าโชว์หลัง

"ความจริงบุ๋มไม่ค่อยดูแลอะไรเป็นพิเศษ แต่เวลาออกงานจะทาครีมบ้าง บางครั้งถ้ามีเวลาก็เข้าสปาขัดผิว และในแต่ละวันจะพยายามหลบเลี่ยงสเปรย์ฉีดผม บุ๋มแพ้สเปรย์ฉีดผมทำให้ผื่นและสิวขึ้นหลัง เราต้องดูแลตรงนี้ด้วยค่ะ" บุ๋มแนะเคล็ดลับ

ส่วนสาวรายนี้ จ๋า-ณัฐฐาวีรนุช ทองมี บอกเวลาออกงานจะโชว์แผ่นหลังบ่อย พอๆ กับที่โชว์หน้า

"ตอนเด็กๆ จ๋าเคยเป็นผดขึ้นที่หลัง แต่พอโตขึ้นมารู้ว่าควรจะทำยังไงไม่ให้มีผด พอไม่มีผดปั๊บก็สบายไปแล้วกึ่งหนึ่ง แล้วจ๋าก็จะขัดตัวเดือนละครั้ง ซึ่งมันจะช่วยให้ผิวหนังชั้นกำพร้าออกไป พอมันออก ไม่เกิดผดขึ้นมาอีก จ๋าดูแลธรรมดาไม่ถึงขั้นเป็นพิเศษ ก็ภูมิใจนะที่คนชมว่าหลังสวย"

"ดีใจค่ะที่คนชมว่าหลังสวย" สาว บี-น้ำทิพย์ จงรัชตวิบูลย์ กล่าวเมื่อถูกชม จากนั้นก็เผยว่า "บีเป็นคนไม่ชอบให้ตัวเองมีสิวที่หลัง ก็จะดูแลเป็นพิเศษโดยการทามอยส์เจอไรเซอร์ เพราะบางทีอาบน้ำบ่อยๆ ทำให้ผิวแห้งก็ต้องบำรุง หรืออาจมีการขัดหลังบ้าง ซึ่งบีทำเองหมดเพราะเป็นคนเขิน ไม่ชอบแก้ผ้าให้คนอื่นดู เวลาออกงานหรือเดินแบบชุดที่ใส่ส่วนใหญ่จะโชว์แผ่นหลัง ก็ต้องดูแลผิวพรรณให้ดี เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งสำคัญค่ะ"
นี่ก็เป็นสาวหลังสวยอีกคน แตงโม-ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ "ก่อนอื่นต้องขอบคุณและดีใจมากที่ชมว่าหลังโมสวย เพราะปกติโมไม่ค่อยดูแลผิวพรรณตัวเองเท่าไร ความโชคดีของโมคือเป็นคนไม่มีสิว ไม่ว่าจะส่วนไหนของร่างกาย และเป็นคนผิวไม่มันด้วย สิวเลยขึ้นยาก อีกอย่างหลังเป็นพื้นที่ที่ดูแลยาก โมเลยไม่ค่อยสนใจ ขัดตัวอะไรเนี่ยก็ไม่ชอบ วันๆ หนึ่งอาบน้ำหนเดียวเอง(หัวเราะ) ยกความดีให้กรรมพันธุ์ของตัวเองดีกว่าค่ะ"

ประชันถ่ายรูปคู่กันทั้งด้านหน้าและด้านหลัง สำหรับหนู เอมมี่-มรกต กิตติสาระ กับสาวหมวยเซ็กซี่ เมย์-พิชญ์นาฏ สาขากร โดย "เอมมี่" พูดขึ้นก่อนว่า

"เปิดหลังกับเปิดหน้าถามว่าอย่างไหนเซ็กซี่กว่ากัน มี่ว่าแล้วแต่คนมอง สำหรับมี่ชอบเปิดหลังมากกว่าเพราะไม่ต้องระวังอะไรมาก มี่เป็นคนไม่ค่อยได้ดูแลหลังเท่าไร ยิ่งตอนนี้แพ้ชุดที่ใส่เล่นละคร ทำให้เป็นผดแดงๆ เลยไม่ค่อยได้โชว์หลังเท่าไรแล้วค่ะ"

ส่วนสาว "เมย์" บอก " ถ้าเราต้องใส่ชุดเปลือยๆ เราต้องมั่นใจ เมย์จะทาครีม ลงชิมเมอร์วาวๆ ทำให้ผิวสวยเด้งขึ้นเวลาโดนแสงไฟ อย่างเมย์ อยู่ในกลุ่มผิวแพ้ง่ายเวลาที่แพ้เหงื่อตัวเองจะมีสิวขึ้นบ้าง เลยต้องใช้สบู่หรือครีมที่ไม่มีน้ำหอม ซึ่งจะทำให้ผิวไม่ด่างดำค่ะ"
ไปงานไหนเป็นต้องโชว์หลัง จนคนสบประมาทว่าดีแต่โชว์แผ่นหลัง สำหรับสาว ตอง-ภัครมัย โปตระนันทน์ "จริงๆ ข้างหน้าก็เนียนนะ แค่คัพเล็กเท่านั้นเอง(หัวเราะ)"

สำหรับวิธีดูแลผิวหลัง ตองว่า " ไม่มีอะไรมาก นอกจากกินอิ่ม นอนหลับ อาบน้ำให้สะอาดค่ะ เวลาอาบน้ำเราควรอาบน้ำถูสบู่ทั้งด้านหน้าและหลัง หลังอาบน้ำเช็ดตัวให้แห้ง และอย่าลืมเช็ดหลังด้วย ถ้าเช็ดไม่ถึงก็ควรหาคู่ไปถูให้ค่ะ" ตบมุขอย่างนี้ แล้วตัวเองล่ะ มีใครถูหลังให้รึยัง

ฟากสาว ฟาง-พิชญา ศรีเทพย์ กล่าวว่า "หนูจะไม่ทาครีมที่หลังเพราะกลัวอุดตัน แต่จะมีบ้างที่นานๆ ทีไปขัดผิว เพราะถ้าไม่ขัดเลยอาจมีเหงื่อไคลทำให้หลังเกิดสิว ส่วนตัวเคยมีปัญหาเรื่องสิวที่แผ่นหลัง ก็จะใช้วิธีรวบผม ไม่ให้ผมมาโดนแผ่นหลังเท่าไหร่ ที่สำคัญต้องสระผมบ่อยๆ ค่ะ"

สุดท้ายสาวเซ็กซี่ อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ ที่เผยว่า "โชคดีเป็นคนไม่มีสิวที่แผ่นหลัง เทคนิคดูแลคือไม่อาบน้ำบ่อย หมายถึงไม่อาบน้ำถูสบู่หลายรอบ อย่างอาบน้ำเช้าก็ถูสบู่รอบเดียว ผิวจะได้ไม่แห้งค่ะ"

เหล่านี้คือเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ในการดูแล "แผ่นหลัง" ให้เนียนสวยของเหล่าดารา แล้วคุณล่ะ มีเคล็ดลับดีๆ รึยัง ถ้ายัง...ลองนำเคล็ดลับของดาราไปใช้ดูนะค่ะ

วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ลดรอย...ด้วย Botox

ลดรอยตีนกา รอยย่นหว่างคิ้ว รอยย่นบนหน้าผาก ด้วย BOTOX



แน่นอนค่ะ ไม่ว่าใครก็ตามไม่อยากมีริ้วรอยบนใบหน้าทั้งนั้น หมอเองก็ด้วยค่ะ แต่เราไม่สามารถฉุดรั้งเวลาไว้ได้ วัยที่ล่วงผ่าน แสงแดดที่แผดเผา ความวิตกกังวล ความเครียด เป็นสิ่งเร้าให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้า ในบทนี้หมอมีวิธีที่จะช่วยลดริ้วรอยให้คุณได้ ด้วยการฉีดสารโปรตีนสกัดชนิดหนึ่งที่เรียกว่า โบท๊อกซ์ (Botox) โดยที่สารนี้จะไปทำให้กล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดริ้วรอยหยุดการทำงาน ลดการหดตัวลง ส่งผลให้รอยตีนกา รอยย่นหว่างคิ้วและหน้าผากถูกขจัดไป ผิวหนังของคุณกลับมาเรียบตึงอีกครั้งได้ค่ะ

สำหรับการเตรียมตัวก่อนการรักษานั้น คุณไม่ต้องเตรียมตัวอะไรเลย เมื่อแพทย์ตรวจสภาพผิวหนังแล้ว เพียงใช้วิธีการฉีดยาเข้าบริเวณกล้ามเนื้อ และยาที่ใช้ฉีดเป็นสารสกัดบริสุทธิ์ใช้ปริมาณน้อยมาก และยังออกฤทธิ์เฉพาะที่ จึงจัดได้ว่าปลอดภัย ดังนั้น คุณเพียงแต่สอบถามขั้นตอนการฉีดยาและผลของการรักษาจากแพทย์ผู้ทำการรักษา เพื่อจะได้รับทราบรายละเอียดจนเข้าใจและตัดสินใจได้ถูกต้อง

ส่วนขั้นตอนการลดรอยย่นบนใบหน้าด้วยการฉีดโบท๊อกซ์ ใช้เวลาในการฉีดยาเพียงเล็กน้อย และมีวิธีการง่าย ๆ คือ

1. แพทย์จะทายาชา หรือประคบด้วยความเย็นบริเวณที่จะฉีดยา BOTOX

2. แพทย์จะฉีดยาเขาบริเวณที่ต้องการลดรอยย่น โดยใช้เข็มฉีดที่มีขนาดเล็กมาก และปริมาณยาที่ฉีดไม่เกิน 1 ซี.ซี. ใช้เวลาเพียง 5 นาทีเท่านั้นเป็นอันเรียบร้อย สำหรับคุณที่กลัวเข็มฉีดยาก็เลิกกลัวได้เลยนะคะ

3. เมื่อแพทย์ฉีดยาเรียบร้อยแล้วก็จะให้คุณนั่งพักสักครู่ หลังจากนั้นคุณสามารถกลับบ้านได้ โดยไม่ต้องนอนพักค้างคืนที่โรงพยาบาลเลยนะคะ

แต่คุณควรปฏิบัติตัวหลังการรักษาตามที่แพทย์ให้คำแนะนำดังนี้

1. หลังฉีดยา 3 ชั่วโมงแรกไปแล้ว ควรบริหารกล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดบ่อย ๆ เพื่อให้ยากระจายตัวได้ดีไม่เกาะกันเฉพาะที่

2. ควรหลีกเลี่ยงแสงแดดจัด 24 ชั่วโมงแรกหลังทำการรักษาแต่ถ้าไม่โดนแสงแดดเลยจะดีมาก





3. ควรล้างหน้าด้วยน้ำสะอาดและใช้วิธีซับหน้าเพียงเบาๆ

4. ควรมาพบแพทย์ตามที่นัดไว้ เพื่อให้แพทย์ติดตามผลการรักษา และหากคุณมีข้อสงสัยใดหรือคิดว่าผิดปกติสามารถสอบถามจากแพทย์ได้

ภายหลังการรักษา รอยย่นบริเวณที่ฉีดยาจะค่อย ๆ หายไปภายใน 3 – 7 วัน และสภาพผิวจะเรียบตึงคงอยู่ได้นานประมาณ 8 - 10 เดือน


จะเห็นได้ว่าการลบรอยตีนกา รอยย่นที่หว่างคิ้ว หรือหน้าผากด้วยการฉีดโบท๊อกซ์นั้นไม่ยุ่งยาก และทำให้ผิวหน้าคุณกลับมาตึงเรียบเหมือนเดิม เจ้าอีกาตัวร้ายที่คิดจะฝากรอยเท้าเอาไว้อีกละก็เมินเสียเถอะค่ะ และหากคุณต้องการ การรักษาที่มีมาตรฐานและปลอดภัย ควรปรึกษาและรับการรักษาในโรงพยาบาลที่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านนี้โดยตรง เพื่อให้เกิดผลดีสำหรับการรักษามากที่สุดนะคะ


วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2551

มือสวย...

วิธีถนอมมือ...คู่สวย

1. หลีกเลี่ยงการล้างมือบ่อยๆ

หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ให้ล้างมือด้วยน้ำเปล่า หรือใช่สบู่ที่ไม่มีฤทธิ์ด่างรุนแรงอย่างเช่น สบู่เด็ก เป็นต้น

2. เช็ดมือด้วยผ้าขนหนูนุ่มๆ ทุกครั้ง หลังล้างมือ

อย่าปล่อยให้มือสัมผัสอากาศจนแห้งไปเอง เพราะจะทำใให้สูญเสียน้ำหล่อเลี้ยงผิวเป็นเหตุให้มือหยาบกรานได้

3. ทาครีมหรือเบบี้ออยล์ก่อนนอน

เพื่อให้เนื้อครีมซึมซับสู่ผิวพรรณ สร้างความชุ่มชื้นให้แก่ผิวในขณะหลับ และตอนเช้าก็ให้ทาอีกครั้งเพื่อป้องกันมือของคุณจากแสงแดด
4. ทามือด้วยโยเกิร์ต

ทาโยเกิร์ตทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง จะช่วยให้มือนุ่มน่าสัมผัสขึ้น

5. ดื่มน้ำ
ควรดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว เพื่อเป็นการทดแทนน้ำหล่อเลี้ยงผิวที่เสียไป

6. บำรุงมือด้วยไข่แดงและสับปะรด

ใช่ไข่แดง 2 ฟอง ผสมกับน้ำสับปะรดคั้น 3 ช้อนโต๊ะ ตีให้เข้ากันแช่มือของคุณไว้ประมาณ 30-40 นาที แล้วล้างออก หมั่นทำ เดือนละ 2 ครั้ง

เพียงเท่านี้ มือคุณก็จะดูสวย เนียนนุ่ม น่าสัมผัส!!

วันจันทร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2551

การเสริมจมูก

การผ่าตัดเสริมจมูก

โครงสร้างของใบหน้าที่งดงามประกอบไปด้วย รูปโครงหน้า คิ้ว ตา ปาก และจมูก ถ้าคุณมีรูปหน้าดี คิ้วดี ตาสวย ปากบาง แต่จมูกแบนบาน คุณก็ดูแค่ธรรมดา แต่หากมีจมูกเป็นสันสวยรับกับใบหน้า คุณก็จะเป็นคนที่สวยโดดเด่นขึ้นมาในทันใด ดังนั้นจึงไม่แปลกใช่มั้ยถ้าหมอจะบอกว่า การเสริมจมูก เป็นศัลยกรรมตกแต่งที่สาวไทย (หนุ่ม ๆ ด้วย) นิยมทำกันมากที่สุดอย่างหนึ่ง ใคร ๆ ก็อยากสวยอยากหล่อดูดีมีดั้งโด่งเป็นสันคมเข้มทั้งนั้นแหละครับ



ในบทนี้หมอจึงจะแนะนำวิธีการเพิ่มสวยเติมหล่อด้วยการเสริมจมูกที่ปลอดภัยมาให้ได้ทราบกัน

การเสริมจมูก เป็นการตกแต่งโครงสร้างของจมูกให้ดูสูงขึ้น ทำให้โครงสร้างจมูกมีรูปร่างที่สวยงามขึ้น การผ่าตัดเสริมจมูกมีทำกันมานานหลายสิบปีแล้ว คนที่มีโครงสร้างของจมูกแบนทั้งผู้ชายและหญิงสาวสามารถรับการผ่าตัดเสริมจมูกได้ ควรจะมีอายุอย่างน้อย 16 ปี ขึ้นไป

วัสดุที่ใช้ในการเสริมจมูกมีหลายชนิด จำแนกง่าย ๆ คือ

1. จากร่างกายของผู้รับการผ่าตัด (Autograft) เช่น กระดูก กระดูกอ่อน ฯลฯ วิธีนี้ส่วนใหญ่จะใช้เสริมจมูกคนไข้ที่มีจมูกผิดรูป เนื่องจากอุบัติเหตุหรือแก้ไขความพิการจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น เนื้องอก ความพิการแต่กำเนิด เป็นต้น และไม่เหมาะสำหรับการผ่าตัดเสริมจมูก เพื่อความงามสำหรับบุคคลทั่ว ๆ ไป

2. วัสดุสังเคราะห์ (Synthetic prothesis) เช่น ซิลิโคนแท่ง (Silicone) ที่ใช้ในวงการแพทย์ (Medical grade) เพราะจะมีปฏิกิริยาต่อร่างกายมนุษย์น้อยมาก ซึ่งทำให้ร่างกายสามารถรับและห่อหุ้มแท่งซิลิโคนให้ยึดอยู่กับเนื้อเยื่อได้ดี

ยังมีวัสดุอีกหลายชนิดที่มีการนำมาเสริมจมูก แต่ปัจจุบันนี้วัสดุทั้ง 2 อย่างนี้ยังเป็นที่ใช้กันแพร่หลายมาก

คุณรู้แล้วนะครับว่า ส่วนมากแพทย์จะเลือกใช้ซิลิโคนแท่งในการผ่าตัดเสริมจมูก ทีนี้ถ้าคุณต้องการที่จะเสริมจมูกให้โด่งสวย คุณต้องปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อน และพึงทราบว่า การผ่าตัดเสริมจมูกนั้นมีความสำคัญมาก เพราะจมูกเป็นโครงสร้างที่อยู่บนส่วนกลางของใบหน้า

ดังนั้นควรพิจารณาควบคู่ไปกับโครงสร้างอื่น ๆ เช่น คิ้ว หน้าผาก ตา แก้ม และริมฝีปากด้วย ซึ่งโครงสร้างอื่น ๆ จะมีส่วนในการกำหนดความสูง ความกว้างของตัวจมูก และปลายจมูกด้วย
แพทย์จะสอบถามความต้องการของคุณ และตรวจสอบโครงสร้างของจมูก รวมถึงเนื้อเยื่อในโพรงจมูกด้านนอก (Anterior nare) และจะพิจารณาส่วนต่าง ๆ ในโครงหน้าประกอบด้วยว่า ถ้าทำแล้วดูสวยดูดีเหมาะกับรูปหน้าของคุณหรือไม่ ถ้าเห็นว่าโอเค..สวยคุณก็จะได้จมูกโด่งตามที่คุณต้องการถ้าเห็นว่าไม่เหมาะ เช่น โด่งเกินไป แหลมเกินไป อาจเกิดผลข้างเคียงได้ หมออาจแนะนำให้คุณลดขนาดลงมาแทน หรือดูให้เหมาะสมกับคุณเป็นคุณที่สวยไม่เหมือนใครก็ได้ ดังนั้นขั้นตอนนี้คุณจึงต้องแจ้งความประสงค์และพูดคุยทำความเข้าใจกับแพทย์ให้ดี เพราะสวยของคุณกับสวยของแพทย์อาจไม่ตรงกันก็ได้

นอกจากนั้นคุณควรแจ้งให้แพทย์ทราบว่า คุณเคยผ่าตัดอะไรเกี่ยวกับจมูกมาหรือเปล่า มีโรคประจำตัวมั้ย หรือแพ้ยาอะไรบ้าง และถ้าคุณยังมีปัญหาใดสงสัยที่ต้องให้แพทย์อธิบาย ก็ถามให้หมดเพื่อความสบายใจ

หลังจากที่คุณกับแพทย์ทำความเข้าใจกันเป็นที่เรียบร้อย แพทย์ก็จะทำการผ่าตัด เพราะการผ่าตัดเสริมจมูกเป็นการผ่าตัดที่ไม่ยุ่งยากนัก และใช้เวลาไม่นาน ชั่วโมงเดียวก็เสร็จแล้ว คุณจึงสามารถรับการผ่าตัดได้เลย

· ว่าแล้วแพทย์ก็จะให้ยานอนหลับที่มีฤทธิ์สั้นๆ ทั้งนี้เพื่อให้คุณนอนหลับ ลดอาการวิตก และทำให้การฉีดยาชารอบจมูกสามารถกระทำได้ง่าย และคุณก็ไม่รู้สึกเจ็บด้วย

· หลังจากนั้นเมื่อมีการวัดจมูกเรียบร้อยแล้ว แพทย์จะนำแท่งซิลิโคน ซึ่งได้ตกแต่งและทำรูปร่างให้เรียบร้อยตามที่กำหนดไว้มาใส่ที่สันจมูก โดยแผลที่ผ่าตัดจะมีความยาวประมาณ 1 ซม. บริเวณขอบรูจมูก อาจจะเป็นข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้ ตามแต่ความถนัดของแพทย์

· จากนั้นจะมีการผ่าตัดสร้างช่องว่าง (Pocket) ที่สันจมูกใต้เยื่อหุ้มกระดูกจมูก ให้สามารถใส่แท่งซิลิโคนที่เตรียมไว้ได้

· เมื่อใส่เข้าไปก็ตรวจสอบความเรียบร้อย เย็บปิดแผลประมาณ 3 เข็ม ปิดพลาสเตอร์หรือเฝือกจมูก เพื่อช่วยป้องกันตัวจมูกและลดอาการบวมเป็นอันเรียบร้อย ทั้งนี้การใช้วัสดุเย็บแผลหรือชนิดพลาสเตอร์ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์แต่ละท่าน

· แพทย์จะให้คุณนอนพักประมาณ 1 ชม. เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีฤทธิ์ยานอนหลับตกค้างอยู่แล้ว คุณก็สามารถกลับบ้านได้ โดยไม่ต้องพักค้างคืนที่โรงพยาบาล

แพทย์จะแนะนำวิธีการดูแลหลังการเสริมจมูก ให้คุณทำตามที่แพทย์แนะนำจะได้หายเร็วขึ้น การดูแลหลังการเสริมจมูกก็เป็นวิธีง่าย ๆ คือ

1. ประคบผ้าเย็นประมาณ 24-48 ชม. หลังจากนั้นถ้ามีรอยฟกช้ำให้ใช้น้ำอุ่นต่อ
2. นอนศีรษะสูง หนุนหมอนประมาณ 2-3 ใบ
3. จมูกจะบวมประมาณ 2-3 วัน ในวันที่ 4 ก็จะเริ่มยุบ
4. ทานอาหารตามปกติ ยกเว้นอาหารรสจัด ให้งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และบุหรี่ ในช่วง 2 อาทิตย์แรก5. ให้มาพบแพทย์หลังการผ่าตัดประมาณ 1-2 อาทิตย์ ตามที่แพทย์นัด

โดยทั่วไปจมูกจะยุบบวมและเข้าที่ประมาณ 1เดือน ดังนั้นคุณต้องระมัดระวังพอสมควรเรื่องการโดนกระแทก และควรอยู่ห่างเด็กเล็กหรือสัตว์เลี้ยงไว้ เพราะต้องรอเวลาเพื่อให้แท่งซิลิโคนถูกเนื้อจมูกห่อหุ้มให้แน่นมากๆ ก่อน (ประมาณ 1-3 เดือน) จึงจะสามารถทนแรงกระทบได้มาก แล้วคุณสามารถทำกิจกรรมได้ตามปกติพร้อมกับมีจมูกที่โด่งสวยอีกด้วย

ดังนั้นคุณที่คิดจะเสริมจมูก ต้องเน้นว่า จะต้องปรึกษาศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ จะผ่าตัดกับโรงพยาบาลที่ดีเท่านั้น จะได้ไม่มีปัญหาตามมา

แต่สำหรับผู้ที่ทำไปแล้วและเกิดเป็นปัญหาก็ไม่ต้องตกใจไปเพราะแพทย์สามารถแก้ไขให้คุณได้ครับ มาดูกันว่าโดยส่วนใหญ่มีปัญหาอะไรและแพทย์จะแก้ไขได้อย่างไรกันบ้าง เริ่มจากจมูกคุณคดก่อนเลยก็แล้วกันนะครับ

จมูกคดเอียง เนื่องจากแท่งซิลิโคน แพทย์จะแก้ไขโดยเอาแท่งซิลิโคนเก่าออก และปรับช่องว่าง (Pocket) ใหม่ให้ตรงแนวกลางของจมูก แล้วใส่แท่งซิลิโคนใหม่ให้ เป็นอันเรียบร้อย หลังผ่าตัดแก้ไขจมูกคดควรจะใส่เฝือกจมูกไว้ประมาณ 1 อาทิตย์ จะได้ไม่คดเอียงอีกจ

จมูกสูง หรือต่ำเกินไป ปัญหานี้แพทย์จะแก้ไขโดยการผ่าตัด เพื่อปรับแต่งแท่งซิลิโคนใหม่ ให้ได้รูปและขนาดตามที่คุณต้องการ

ปลายจมูกบางแต่ยังไม่ทะลุ ปัญหานี้แก้ไขโดยแพทย์จะใช้เนื้อเยื่อบริเวณหลังใบหูด้านใดด้านหนึ่ง (Dermal-fat graft) หรืออาจจะมีส่วนกระดูกอ่อนของใบหู (Cartilageneus graft) แล้วแต่กรณีมาเสริมบริเวณเนื้อเยื่อปลายจมูก เมื่อเนื้อเยื่อใหม่อยู่ตัวแล้ว ปลายจมูกจะมีผิวหนังที่แข็งแรงขึ้น ลำหรับแท่งซิลิโคนควรปรับเปลี่ยนใหม่ให้แรงกดไม่อยู่บริเวณปลายจมูกมากนัก

จมูกที่มีแท่งซิลิโคนทะลุ กรณีนี้ต้องเอาแท่งซิลิโคนออก ปลายจมูกจะยุบตัวลงและมีรอยแผลเป็น

จมูกมีการติดเชื้ออักเสบ มักจะพบในช่วง 1-2 อาทิตย์ หลังจากเสริมจมูก จมูกจะมีอาการปวดบวม แดง ร้อน กรณีนี้ต้องเอาแท่งซิลิโคนออกก่อน เมื่ออาการอักเสบหายหมดจึงจะใส่แท่งซิลิโคนใหม่ได้

โดยทั่วไปแล้ว การเสริมจมูกด้วยแท่งซิลิโคน เป็นวิธีที่ทำกันแพร่หลายและได้ผลดีมาก คุณไม่ต้องเป็นกังวลใด ๆ เพียงคุณเลือกทำในโรงพยาบาลที่พร้อม มีแพทย์ที่เชี่ยวชาญ และทำตามที่หมอแนะนำข้างต้น ที่สำคัญคือ อย่าพยายามเสริมจมูกสูงหรือเลือกทรงจมูกที่ฝืนธรรมชาติมากเกินไป คุณก็จะได้เปลี่ยนรูปลักษณ์ให้โดดเด่นสวยเก๋มีจมูกโด่งเป็นสันรับกับใบหน้าแน่นอน


สาวๆ ที่คิดจะเสริมจมูก ลองพิจารณากันดูนะค่ะ

วันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ผมหน้าม้า ..มาแรงงงงงงงง

"หน้าม้า" สุดฮอต อ่อนเยาว์-สาวนิยม

หน้าม้า มาแรง .... แรงงงงงงงงงง มองไปทางไหนก็มีแต่ หน้าม้า ยิ่งตอนนี้จะมีหนังเรื่อง รัก สาม เศร้า ที่น้องพีคแสดงแล้วเธอยังตัดผมหน้าม้าอีกนั่นล่ะ.. ฮอตจริงๆ นะคะ แต่เรื่องของผมหน้าม้านี่ ใครอยากตัด ต้องมั่นใจหน่อยนะ ถึงบางครั้งหน้าเราอาจจะไม่เหมาะกับผมหน้าม้า แต่ให้มั่นใจซะอย่าง.. ตัดเลยค่ะ หรือใครยังไม่มั่นใจ ลองอ่านดูดาราสาวๆ เค้าที่พูดถึงผมหน้าม้านี่นะคะ เผื่อจะเป็นแสงสว่างให้คนที่อยากตัดผมหน้าม้า (แต่ยังไม่กล้า) ได้บ้าง

ตัดม้าเต่อ ม้าเต่อ กันเต๊อ


"ผมม้าหน้าเหมือนแมว มองดูแล้วหน้าเหมือน..." ใครที่เคยไว้ผมทรงหน้าม้าเมื่อสมัยเด็กๆ คงจำได้ดีว่ามักโดนเพื่อนล้อประโยคนี้อยู่บ่อยๆ แต่ใครจะรู้ว่า ผมทรงหน้าม้าน่ะ เป็นทรงผมสุดฮอตฮิต ไม่เคยตกยุค ยิ่งมายุคนี้ด้วยแล้ว ถือว่าอินเทรนด์กันเลยทีเดียว

เรื่องที่จะไว้ผมม้าแล้วหน้าจะเหมือนอะไร ไม่มีใครสนแล้วล่ะ

ดูอย่าง "เจ๊ตั๊ก" มยุรา เศวตศิลา นั่นเป็นไร ที่ไว้ผมหน้าม้ามาร่วม 20 ปีแล้ว โดยเจ้าตัวเล่าว่า" ที่ไว้ผมหน้าม้าเพราะตอนนั้นประสบอุบัติเหตุรถคว่ำ ทำให้มีแผลเป็นตัววีอยู่บริเวณหน้าผาก ก็ปรึกษาหมอว่าอยากทำศัลยกรรม หมอแนะนำว่าไม่ต้องทำศัลยกรรม จะเจ็บตัวอีกทำไม ไว้ผมหน้าม้าปิดรอยแผลจะดีกว่า เพราะนานไปรอยแผลเป็นจะเลือนไปเองถ้าเราทาครีมบำรุง"


แล้วที่ว่าไว้ผมปิดหน้าผากแล้วโหงวเฮ้งจะเสีย "ตั๊ก-มยุรา" ให้ทรรศนะว่า "ส่วนตัวมีความคิดว่าอะไรที่เกี่ยวกับโหงวเฮ้งไม่สวยสักอย่าง อย่างคนโหงวเฮ้งดีต้องจมูกโต ถามจริงผู้หญิงจมูกโตสวยมั้ย หรืออย่างการเปิดหน้าผาก ดูเถิกไป ก็ไม่สวย เอาเป็นว่าเราขอฝืนโหงวเฮ้ง เพราะส่วนตัวแล้วคิดว่าชีวิตเราดีขึ้นตั้งแต่ตัดผมม้า"


นี่ก็เป็นเจ้าแม่ผมม้า แถมชื่อเล่นยังชื่อ "ม้า" อีกต่างหาก สำหรับ เมก อัพอาร์ติสต์คนดัง "อรนภา กฤษฎี"


"เรื่องของแฟชั่นมันก็ไปก็มาแบบนี้ วนๆ กันไป สำหรับตัวเอง ไว้ทรงผมนี้มานานแล้ว น่าจะ 20-30 ปีแล้วมั้ง ก่อนหน้านี้เคยทำทรงอื่นๆ มาแล้วหลายทรงจนไม่รู้จะทำอะไรแล้ว สุดท้ายก็มาอยู่ที่ทรงนี้ เพราะรู้สึกว่ามันเข้ากับหน้าเราดี ที่สำคัญมันทำให้เราดูเด็กลงค่ะ"


"ไว้มานานแล้ว จนจำไม่ได้ว่า ไว้มากี่ปีแล้ว" หมอลำสาวเสียงพิณ "จินตหรา พูนลาภ" บอกกล่าวถึงทรงผมหน้าม้าที่เป็นสัญลักษณ์ของตัวเอง


จากนั้นก็กล่าวถึงที่มาว่า "จำได้ว่าไว้ทรงนี้ตั้งแต่เรียนประถมฯ ต้นเหตุคือเป็นเหา แม่ก็เลยเอากรรไกรมาตัดผมสั้นเลย แถมตัดผมหน้าม้าด้วย จากนั้นเลยไว้ผมทรงหน้าม้ามาตลอดจนมาเป็นนักร้อง รู้สึกว่าตัวเองถูกโฉลกกับผมทรงนี้"


"จินเคยอยากเปิดหน้าผาก อยากเปลี่ยนทรงผม แต่พอลองดูแล้ว รู้สึกแปลกๆ มันไม่ใช่ ไม่ชินตา และเวลาที่ไว้ผมหน้าม้ายาวก็จะดูโทรม จะให้ดีต้องไว้หน้าม้าเต่อขึ้นไปเหนือคิ้วนิดนึง ผมบ๊อบต้องเลยติ่งหูมาหน่อย ไว้ทรงนี้แล้วมั่นใจค่ะ"

ส่วนสาวหมวยตาซุกซน "จ๋า"ณัฐฐาวีรนุช ทองมี ไว้ผมหน้าม้ามาตั้งแต่อนุบาล "ไม่ว่าจ๋าจะไว้ผมสั้น ผมยาว หรือดัด แต่ผมข้างหน้าต้องเป็นหน้าม้าค่ะ ส่วนโหงวเฮ้งเขาว่าเปิดหน้าผากแล้วจะรับทรัพย์ แต่ของจ๋านี่ไว้หน้าม้าก็เลยมีพี่เขามาแก้ให้ โดยให้จ๋าเปิดขนตาหรือเบิกตาแทน พี่เขาบอกว่าถ้าแก้แล้วก็สามารถไว้หน้าม้าแล้วโหงวเฮ้งไม่เสียค่ะ"

นี่เพิ่งตัดหน้าม้าไม่นาน สำหรับนางเอกสาว "เอมี่ กลิ่นประทุม" "เอมี่รู้สึกเบื่อหน้าตัวเองและก็ไม่อยากตัดผมสั้น เพราะเดี๋ยวเล่นละครจะทำทรงอะไรไม่ค่อยได้ มีพี่ที่ร้านทำผมบอกว่างั้นตัดผมหน้าม้ามั้ย เพราะกำลังฮิต เราก็เลยตัด"
"ก่อนตัด ซี (ศิวัฒน์ โชติชัยชรินทร์) บอกอย่าตัดเลย มันตลก จะปิดหน้าผากทำไม ซึ่งเราก็ไม่สนใจตัดเลย ตัดแล้วเขาก็บอกว่าเด็กดี แต่ก็มีหลายคนบอกว่าเปิดหน้าผากโหงวเฮ้งเอมี่จะดี เพราะหน้าผากเอมี่ค่อนข้างเล็ก แต่เราก็ไม่ค่อยได้ทำเท่าไหร่ พอตัดแล้วคนก็ชมว่าน่ารักดีดูเด็ก"

ส่วนหนู "ครีม"เปรมสินี รัตนโสภา ว่า "แรกที่ตัดเพราะต้องเล่นละคร แต่พอตัดแล้วรู้สึกว่าหน้าดูเด็กลง ตั้งแต่นั้นก็ไว้ตลอด คือบางคนที่เขาไว้ผมหน้าม้าอาจจะเอาไว้ปิดหน้าผาก แต่สำหรับครีม ไม่มีปัญหาตรงนี้ ครีมตัดผมตามใจตัวเองมากกว่า แค่ตัดออกมาดูดีก็พอแล้ว"


นักแสดงสาว "เบลล์"มนชญา ศรี สวัสดิ์ ทายาทคนเล็กของตลก "ดี๋ ดอกมะดัน" กล่าวถึงทรงผมที่ไว้ว่า "ส่วนใหญ่เบลล์จะตัดผมปีละครั้ง แต่ผมหน้าม้าจะตัดบ่อยหน่อย ล่าสุดตัดผมข้างหน้า เหมือนเดอะบิตเทิ้ล แต่ไม่ได้เต่อมาก เพื่อนๆ ก็บอกตัดทรงนี้แล้วโอเค ดูเด็กขึ้น ส่วนเรื่องที่ตัดผม ม้าแล้วบดบังโหงวเฮ้ง เบลล์รู้สึกเฉยๆ เบลล์ คิดว่าเราตัดผมทรงไหน ไว้ผมทรงอะไรแล้วสบายใจ เหมาะกับหน้า นั่นคงจะเป็นเรื่องที่ดี กว่าค่ะ"

ดาราสาว "ฟาง" พิชญา ศรีเทพย์ แง้มว่า "ของฟางเป็นม้าเต่อ ซึ่งมันดูแปลกไม่เหมือนใคร เมื่อก่อนฟางจะตัดหน้าม้าที่สั้นสูงแค่ระดับตา มันทำให้หน้าหวาน แต่ผมมันทิ่มตาตลอด ก็เลย ตัดเป็นม้าเต่อค่ะ"
ส่วนเรื่องทำผมปิดหน้าผากทำให้ปิดโหงวเฮ้ง หนูฟางบอกว่า ไม่เป็นปัญหา เพราะม้าเต่อก็เห็นหน้าผากอยู่แล้ว



ด้านหนู "พีค"ภัทรศยา เครือสุวรรณศิริ เผยถึงที่มาในการตัดผมทรงหน้าม้าว่า "เพราะ พี่ต้อม (ยุทธเลิศ สิปปภาค) สั่งให้ตัด เพื่อต้องการเปลี่ยนลุกส์มาเป็นสาวเซอร์ ในหนัง "รัก/สาม/เศร้า" พี่ต้อมให้เวลา 2 นาทีในการตัดสินใจ พอพีคโอเคปุ๊บ ช่างก็มาตัดให้เลย"


"ตัดวันแรกรู้สึกหน้าแปลกๆ ไม่ชิน แต่พอตัดไปสักพักเริ่มชอบ มันดูมีคาแร็กเตอร์ ช่วงไหนถ้าผมหน้าม้ายาวพีคก็จะตัดเอง แหว่งบ้างไม่เท่ากันบ้างก็ไม่เป็นไร ให้มันดูเซอร์ ซึ่งถ้าไม่ใช่ตัดเพราะ หนัง ก็ไม่รู้ว่าในชีวิตจริงจะกล้าตัด ผมม้าหรือเปล่า"


"ถ้าสังเกตดีๆ แอนตัดผมหน้าม้ามาตั้งแต่ตอนเล่นละครเรื่อง "อุ้มรัก" แล้ว" นางเอกสาว "แอน ทองประสม" รีบอวด เมื่อถูกถามเรื่องทรงผมหน้าม้า


"ที่ตัดทรงหน้าม้าเพราะผมทรงนี้สามารถทำอะไรได้ง่าย จะแสกข้าง แสกกลางได้หมด แต่ถ้าจะให้พูดจริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าจะชอบซะทีเดียว เพราะแอนก็มีความเชื่อในเรื่องการปิดโหงวเฮ้งบ้างในบางครั้ง ก็จะไว้หน้าม้าในบางครั้งที่เราอยากไว้ค่ะ"


สดๆ ร้อนๆ กับผมหน้าม้าของนางเอกสาว "น้ำฝน"กุณณัฏฐ์ กุลปรียาวัฒน์ "ฝนเพิ่งตัดผมหน้าม้าเมื่อวานนี้เอง (2 มิ.ย.) เพราะเห็นว่าเป็นแฟชั่นที่เขาฮิตกัน ไม่ได้คิดอะไรมาก พอตัดออกมาแล้วก็พอใจ อีกอย่างที่ไม่คิดมากก็เนื่องจากว่าฝนเองเป็นคนที่ผมยาวเร็ว พอตัดซักพักนึง ถ้าไม่พอใจก็จะสามารถเปลี่ยน เป็นทรงผมอื่นได้ค่ะ"


สุดท้ายนักร้องสาวหมวย "เบลล์"มนัญญา ลิ่มเสถียร แห่งวง "เกิร์ลลี่ เบอร์รี่" บอกว่า "ที่ตัดหน้าม้าก็ตัดตามแฟชั่น หน้าม้ามันเป็นเทรนด์ที่มาก่อนแล้ว 2-3 ปี ซึ่งจริงๆ แล้วเบลล์ตัดมาปีกว่าแล้ว ตัดแล้วทำให้ดูหน้าสดใส และดูหน้าเปลี่ยนไป ไม่จำเจ ไม่ได้ไว้เพื่อปิดหน้าผากหรือรอยแผลเป็นอะไร แต่เบลล์ตัดตามแฟชั่นค่ะ"
จะไว้ผมทรงไหน จะนำหรือตามแฟชั่น อยู่ที่ใจชอบ

อ่านแล้ว หากยังไม่แน่ใจอีก ว่าแบบไหนจะโดนใจ ลองเลือกผมหน้าม้าจากที่เอารูปมาให้ดูนะคะบางคนอาจจะเหมาะที่จะตัดหน้าม้าตรงๆ บางคนก็เป็นหน้าม้าแบบเฉียงๆ สไลด์ ซอย ดัด ก็ว่ากันไป


ขอขอบคุณคอลัมน์ มายาวาไรตี้ : นสพ.ข่าวสด

วันอังคารที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2551

วันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม


ทีฆายุกาโหตุ มหาราชินี

ขอพระองค์ทรงพระเจริญ

วันที่ 12 ส.ค. ของทุกปี เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และเป็น “วันแม่แห่งชาติ” โดยในปีนี้ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานคำขวัญวันแม่แห่งชาติ ปี 2551 อัญเชิญลงหนังสือวันแม่แห่งชาติ ปี 2551 ของสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ว่า

“เมื่อเกิดมาอาศัยถิ่นแผ่นดินไหน
ควรมีใจกตัญญูรู้คุณถิ่น
หากคนไทยรู้ตอบแทนคุณแผ่นดิน
จักไม่มีวันสิ้นแผ่นดินไทย”

************

วันอาทิตย์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ริมฝีปากสวย...ยั่วใจ

ริมฝีปาก... อวัยวะที่เย้ายวนที่สุดบนใบหน้า เพราะเป็นส่วนที่บ่งบอกได้ดีถึงอารมณ์ ความรู้สึก และนิสัยของผู้เป็นเจ้าของ หากเปรียบดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ ริมฝีปากก็คือหน้าต่างของอารมณ์นั่นเอง

ยามอารมณ์แจ่มใส รอบกายมีแต่สิ่งสวยงาม เรียวปากย่อมแย้มยิ้ม แสดงความรู้สึกสุขใจ แต่เมื่อใดเกิดความไม่พอใจหรือไม่สบอารมณ์ เรียวปากน้อย ๆ ก็อาจเหยียดตรง หลุบลง หรือเม้มไว้ บ่งบอกความรู้สึกขัดใจ แม้แต่ศาสตร์โหงวเฮ้งของจีนเองก็ยังยกให้ปากเป็นอวัยวะสำคัญที่บ่งบอกลักษณะนิสัยใจคอ บุคลิก และวิถีชีวิตของผู้เป็นเจ้าของ เรียวปากจึงมีความสำคัญมิใช่น้อย และเป็นอวัยวะสำคัญที่เจ้าของไม่ควรละเลย และด้วยเหตุผลที่ริมฝีปากสามารถสะท้อนความนัยไปถึงอวัยวะอันลึกเร้นของเพศหญิง จุดประสงค์ใหญ่ของการทาปาก จึงเป็นไปเพื่อดึงดูดใจเพศตรงข้ามให้หลงใหลในความชุ่มฉ่ำเย้ายวน...

เรียวปากสวยดังใจ หญิงสาวทุกคนต่างใฝ่ฝันอยากมีริมฝีปากสวยงามได้รูป หากใครเกิดมาพร้อมริมฝีปากที่ลงตัวสมสัดส่วนก็ถือว่าเป็นเรื่องดี แต่หากสาวใดไม่โชคดีขนาดนั้นก็ไม่ต้องกังวลว่าเป็นเรื่องใหญ่โต เพราะการแต่งแต้มและเพิ่มสีสันให้เรียวปากจะช่วยแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี เพียงแค่มีเรียวปากที่สดใส ทุกส่วนของใบหน้าก็จะดูแจ่มใสเจิดจ้าขึ้นได้อย่างน่าแปลกใจ ลิปสติกจึงเป็นเครื่องสำอางที่สำคัญที่สุดมาตลอดทุกยุค ขนาดสาว ๆ เมื่อ 5,000 ปีก่อน เขาก็ยังใช้สีสันจากธรรมชาติมาทาปากกันแล้ว

ขั้นตอนที่ 1 บำรุงเรียวปากปากที่ทาลิปสติกได้สวยจะต้องเนียนเรียบไม่แห้งแตกเป็นขุย ดังนั้นก่อนทาลิปสติกจึงควรรองพื้นปากด้วยครีมบำรุงริมฝีปากหรือลิปบาล์มเพื่อช่วยให้ริมฝีปากชุ่มชื้น ควรทาลิปบาล์มทันทีหลังจากการทาครีมบำรุงผิวหน้า เพื่อให้ลิปบาล์มมีเวลาซึมซาบเข้าไปบำรุงผิวปากได้ในขณะที่แต่งใบหน้าส่วนอื่น และเมื่อแต่งหน้าส่วนอื่นเสร็จแล้วจึงใช้กระดาศทิชชูซับลิปบาล์มที่เหลือออกอย่างเบามือ ริมฝีปากจะชุ่มชื้นและเรียบเนียนขึ้นในทันทีโดยไม่ทิ้งความมันไว้และสีลิปสติกที่ทาทับลงไปจะติดได้ทนนาน

เคล็บลับ หากต้องการให้สีสันของลิปสติกติดทนนานกว่าเดิม ควรทารองพื้นให้ทั่วริมฝีปากก่อนทาลิปสติก


ขั้นตอนที่ 2 เขียนขอบปากเพื่อเน้นริมฝีปากให้เด่นชัดขึ้น ป้องกันไม่ให้สีลิปสติกซึมเลอะขอบปาก และในบางสถานการณ์ยังสามารถช่วยแก้ไขรูปทรงของปากได้ด้วย โดยเริ่มจากการเลือกดินสอเขียนขอบปากที่มีสีใกล้เคียงกับสีผิวปากตามธรรมชาติ หรือคล้ายกับสีลิปสติกที่จะทาให้มากที่สุด บรรจงใช้ดินสอเขียนไปตามรูปขอบปากตามธรรมชาติ ถ้ามือไม่นิ่งพอ ให้วางข้อศอกลงบนโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วค่อย ๆ เขียนจะช่วยได้มากเลยค่ะ หลีกเลี่ยงการเขียนขอบปากให้เลยออกมานอกริมฝีปากมากเกินไป เพราะเมื่อสีลิปสติกจางลง เส้นขอบปากจะเด่นจนน่าเกลียด ส่วนถ้าใครอยากวาดขอบปากเพื่อแก้ไขรูปปาก แนะนำว่า ถ้าอยากให้เรียวปากดูบางลง ให้เขียนขอบปากเลยเข้าไปในริมฝีปากเล็กน้อย แต่ถ้าอยากให้ปากดูเต็มอิ่มขึ้นก็วาดขอบปากให้เลยริมฝีปากจริงออกมา โดยเคล็ดลับที่ทำให้เส้นขอบปากไม่โดดจนเกินไปก็คือ ให้ใช้พู่กันทาปากแห้ง ๆ ไล้ไปตามเส้นขอบปากที่เขียนไว้ จะทำให้ขอบปากดูนุ่มขึ้นได้ในทันที และหากอยากให้สีลิปสติกติดทนนานยิ่งขึ้นก็สามารถใช้ดินสอเขียนขอบปากระบายให้ทั่วแทนลิปสติกได้ โดยตั้งดินสอให้ด้านข้างของเนื้อสีชิดกับริมฝีปากเพื่อให้ทาได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น ตบท้ายด้วยการใช้พู่กันจุ่มลิปบาล์มทาเคลือบริมฝีปากบาง ๆ เพื่อป้องกันปากแห้งแตก ส่วนดินสอแท่งใหญ่ที่ใช้ทาปากโดยเฉพาะ หรือที่เรียกว่า ชับบี้สติ๊ก (Chubby Stick) นั้น ไม่ควรนำมาใช้เขียนขอบปากเพราะมีส่วนผสมที่เป็นเนื้อครีมมากเกินไป ซึ่งจะทำให้ขอบปากเลอะเทอะได้ง่าย

เคล็ดลับ อากาศร้อน ๆ อย่างนี้จะทำให้เนื้อดินสอเขียนขอบปากนิ่มและหักง่าย ก่อนใช้ให้นำไปแช่ตู้เย็น หรือนำมาจุ่มน้ำเย็นสักครู่ จะช่วยให้เนื้อดินสอแข็งขึ้น

ขั้นตอนที่ 3 เลือกเนื้อและสีลิปสติกให้เหมาะกับตัวเอง หากอยากหาซื้อลิปสติกที่ถูกใจสักแท่ง สาว ๆ คงต้องคิดกันหลายตลบ เพราะลิปสติกมีมากมายหลายสีหลากเฉด แถมยังไม่รู้ว่าลิปสติกสีไหนชนิดใดกันแน่ที่เหมาะกับตัวเอง คำแนะนำเหล่านี้จะช่วยให้การเลือกลิปสติกเป็นเรื่องง่ายและสนุกขึ้นค่ะ

วิธีเลือกชนิดของลิปสติก


ลิปสติกเนื้อด้าน (Matte Lipstick) เหมาะกับการเน้นสีสันของริมฝีปาก เป็นชนิดที่ติดทนนานที่สุดเพราะมีส่วนผสมของแป้งในเปอร์เซ็นต์สูง แต่เมื่อทาแล้วปากจะแห้งมาก แต่ปัจจุบันมีการเปลี่ยนส่วนผสมของเนื้อลิปสติกจากแป้งมาเป็นโพลีเมอร์และซิลิโคน เพื่อช่วยให้ปากชุ่มชื้นขึ้น หรือลองผสมลิปสติกเนื้อด้านเข้ากับลิปบาล์ม อาจทำให้ติดทนนานน้อยลงไปบ้างแต่ริมฝีปากจะชุ่มชื้นมากขึ้น


ลิปสติกเนื้อประกาย (Shimmer Lipstick) เนื้อคล้ายลิปสติกแบบครีม แต่มีส่วนผสมของไมก้าและไททาเนียมไดออกไซด์ ที่มีคุณสมบัติสะท้อนแสงและเพิ่มประกาย ทำให้ริมฝีปากดูอวบอิ่มขึ้นและมีสีสันติดทนพอสมควร เป็นลิปสติกที่เหมาะกับฤดูร้อน

ลิปสติกเนื้อครีม (Cream Lipstick) สีแบบทึบแสงของลิปสติกชนิดนี้จะช่วยให้ริมฝีปากดูเต็ม อวบอิ่มและอ่อนเยาว์ เนื้อลิปสติกที่เนียนเรียบยังช่วยให้การทาปากสีเข้มดูอ่อนโยนและเย้ายวนขึ้น วิธีที่ดีที่สุดในการทาลิปสติกชนิดนี้คือ ทาชั้นแรกแล้วควรใช้กระดาษทิชชูซับริมฝีปากก่อน จากนั้นใช้พู่กันระบายทับลงไป วิธีนี้จะ
ช่วยให้สีสันติดทนนานขึ้นกว่าเดิม

ลิปสติกเนื้อบางใส (Sheer Lipstick) เนื้อบางเบาของลิปสติกชนิดนี้จะเผยให้เห็นสีของริมฝีปากจริง ทำให้ดูสวยเป็นธรรมชาติ ให้ความชุ่มชื้นสูง แต่จะไม่ติดทนนาน

ลิปกลอส (Gloss) จะช่วยให้ริมฝีปากเนียนนุ่มชุ่มชื้นและดูอ่อนเยาว์ ทั้งยังทำให้ปากเรียบเนียนได้ดีกว่าลิปสติกทั่วไป จะใช้ทาเดี่ยว ๆ เพื่อเน้นสีธรรมชาติของริมฝีปากเพียงอย่างเดียว หรือทาทับลงไปบนลิปสติกเพื่อเพิ่มความเงางามหรือเป็นไฮไลท์ก็ได้

วิธีเลือกลิปสติก

สีสันของลิปสติกมีหลายเฉด หลากโทน รวม ๆ แล้วก็มากมายหลายร้อยสี สิ่งสำคัญที่สุดในการตัดสินใจเลือกสีใดก็ตาม คือ อย่าให้แรงดึงดูดแห่งสีสันของลิปสติกเหล่านั้นมีพลังอำนาจมากกว่าตัวตนจริง ๆ ของเรา ควรจะเลือกสีลิปสติกที่บ่งบอกความเป็นตัวตนจริง ๆ ของเรามากกว่า



เลือกสีตามฤดูกาล

ในฤดูร้อนที่ทุก ๆ อย่างรอบตัวสะท้อนแสงแดดเป็นประกายเช่นนี้ ควรเลือกสีลิปสติกที่เป็นประกาย สดใส แวววาว เพื่อให้ดูสดชื่น มีชีวิตชีวา ยามต้องแสงแดดจ้า ส่วนเมื่อท้องฟ้าไม่ค่อยแจ่มใสนักตอนย่างเข้าฤดูฝน สีลิปสติกที่เหมาะกับสีเทาอึมครึมของท้องฟ้าคือสีชมพูอมม่วง สีน้ำตาลอมม่วง สีม่วงอ่อน หรือสีชมพูนู้ด ก็เหมาะเช่นกัน พอถึงฤดูหนาว สีสันทุกอย่างจะดูเคร่งขรึม โดยเฉพาะบนเวทีแฟชั่นที่สีสันจะเข้มข้นขึ้น หนักขึ้น เด่นชัดขึ้น สีลิปสติกจึงควรจะเข้มอย่างสีไวน์ แดงเบอร์กันดี ม่วงพลัม น้ำตาลช็อกโกแลต ให้เข้ากับสีผ้าทึม ๆ และเนื้อผ้าที่หนา หนัก
ขั้นตอนที่ 4 แต้มสีให้เรียวปากผู้หญิงส่วนใหญ่นิยมทาลิปสติกโดยตรงจากแท่งหรือใช้วิธีป้ายด้วยปลายนิ้ว แต่การทาลิปสติกที่ถูกต้องที่สุดคือการใช้พู่กันทาปากซึ่งเป็นเครื่องมือที่สำคัญมากสำหรับช่างแต่งหน้า เพราะนอกจากจะระบายสีได้สวยเสมอกันทั่วทั้งปากแล้ว ยังทำให้สีติดทนนานขึ้นด้วย เพราะพู่กันจะเกลี่ยสีได้อย่างพอเหมาะพอดี และยังเป็นผลพลอยได้ให้ประหยัดลิปสติกได้ด้วย นอกจากนี้ยังทำให้สีลิปสติกกับเส้นขอบปากที่วาดไว้ กลมกลืนกันได้อย่างเป็นธรรมชาติเคล็ดลับ ควรมีพู่กันทาปากแบบเก็บใส่ปลอกติดตัวไว้ เพื่อจะได้มีพู่กันสะอาด ๆ ไว้แต้มเติมเรียวปากได้ทุกเวลา ควรเลือกชนิดที่มีขนแปรงยาวประมาณ 8 มิลลิเมตร (1/3 นิ้ว) ซึ่งเป็นขนาดที่ไม่สั้นไม่ยาว เพื่อควบคุมการทาปากให้เที่ยงตรงที่สุด

วันพุธที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2551

แบบทดสอบเสน่ห์ของสาวๆ : คุณขาดเสน่ห์ตรงไหนบ้าง?

1. คุณถ่ายรูปขึ้นหรือเปล่า?
* ใช่ (ไปข้อ 2) * ไม่ใช่ (ไปข้อ 3)

2. เคยมีคนพูดว่า "งานไหนขาดคุณ งานนั้นกร่อย บางหรือไม่"?
* ใช่ (ไปข้อ 3) * ไม่ใช่ (ไปข้อ 6)

3. คุณยกมือบ้ายบายแฟนก่อนแยกกลับบ้านหรือเปล่า?
* ใช่ (ไปข้อ 4) * ไม่ใช่ (ไปข้อ 8)

4. เวลาเดินเคียงไปกับชายที่ถูกใจ รู้สึกอยากจะควงแขนหรือจับมือเขา
* ใช่ (ไปข้อ 13) * ไม่ใช่ (ไปข้อ 12)

5. ใส่ใจต่อท่าไขว่ห้างของตัวเอง
* ใช่ (ไปข้อ 6) * ไม่ใช่ (ไปข้อ 9)

6. แม้ถูกชวนไปนั่งกินข้าวร้านซ่อมซ่อริมข้างทาง คุณก็ไม่รังเกียจ
* ใช่ (ไปข้อ 7) * ไม่ใช่ (ไปข้อ 14)

7. ถ้ามีคนชมว่าคุณร้องเพลงเพราะ คุณจะกล้าร้องต่ออีกเพลงทันที
* ใช่ (ไปข้อ 3) * ไม่ใช่ (ไปข้อ 8)

8.คุณมักจะมองหน้าของฝ่ายตรงข้ามเวลาทำความเคารพด้วย
* ใช่ (ไปข้อ 4) * ไม่ใช่ (ไปข้อ 17)

9. สระผมเป็นประจำทุกเช้าไม่เคยขาด
* ใช่ (ไปข้อ 14) * ไม่ใช่ (ไปข้อ 11)

10. จะต้องกดชักโครกห้องน้ำที่มีคนใช้ก่อนหน้าคุณทุกครั้ง
* ใช่ (ไปข้อ15) * ไม่ใช่ (ไปข้อ 17)

11. เวลาหยิบนิตยสารขึ้นมาอ่าน จะไม่พลาดอ่านหน้าพยากรณ์โชคชะตาราศี
* ใช่ (ไปข้อ10) * ไม่ใช่ (ไปข้อ 15)

12. ถ้าไม่ทำความสะอาดห้องให้เรียบร้อย จะรู้สึกไม่สบายใจ
* ใช่ (ไปข้อ 21) * ไม่ใช่ (ไปข้อ 13)

13. สามารถทำอาหาร ทำความสะอาด ซักเสิ้อผ้าได้อย่างสบาย
* ใช่ (ไปข้อ 23) * ไม่ใช่ (ไปข้อ 22)

14. คิดว่าโชคดีที่ได้เกิดมาเป็นผู้หญิง
* ใช่ (ไปข้อ 10) * ไม่ใช่ (ไปข้อ 11)

15. พรมน้ำหอมเวลาออกไปข้างนอกเสมอ
* ใช่ (ไปข้อ 19) * ไม่ใช่ (ไปข้อ 16)

16. วางตุ๊กตาหรือหมอนน่ารักๆไว้เต็มห้อง
* ใช่ (ไปข้อ 18) * ไม่ใช่ (ไปข้อ 19)

17.เคยถูกผู้ชายที่ไม่ชอบตามตื้อ
* ใช่ (ไปข้อ 12) * ไม่ใช่ (ไปข้อ 16)

18. เป็นคนไม่ชอบยอมแพ้คน ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม
* ใช่ (ดูเฉลย ข้อ 2) * ไม่ใช่ (ไปข้อ 20)

19. มั่นใจในรูปร่างของตนเองเวลาไม่ใส่เสื้อผ้า
* ใช่ (ไปข้อ 18) * ไม่ใช่ (ไปข้อ 20)

20. มักชมเสื้อผ้าหรือกระเป๋าของเพื่อนผู้หญิงบ่อยๆ
* ใช่ (ดูเฉลย ข้อ 3) * ไม่ใช่ (ดูเฉลย ข้อ 4)

21. คุณคิดว่ารอบตัวคุณมีคนที่นิสัยไม่ดีปะปนอยู่ด้วย
* ใช่ (ไปข้อ 18) * ไม่ใช่ (ไปข้อ 22)

22. ถ้าช่วงเช้าคุณเจอเรื่องไม่สบอารมณ์จะอารมณ์ค้างไปจนถึงตอนเย็น
* ใช่ (ดูเฉลย ข้อ 2) * ไม่ใช่ (ดูเฉลย ข้อ 1)

23.ถ้ามีใครบอกถึงเคล็ดลับที่จะทำให้สวยงาม คุณจะไม่รั้งรอที่จะปฎิบัติตามทันที
* ใช่ (ดูเฉลย ข้อ 1) * ไม่ใช่ (ดูเฉลย ข้อ 2)

คำเฉลย

1. ระดับความน่ารักของคุณ 100%

เสน่ห์แบบหญิงสาว คุณนั้นเปรียบเสมือนนางเอกผู้อุทิศตัวและเสียสละ สิ่งไหนที่คนทั่วไปคิดว่าเบื่อหน่าย แต่คุณจะทุ่มเททั้งพลังใจและพลังกายเพื่อลองทำมัน แต่ถ้าไม่ประสบความสำเรคุณจะสามารถยิ้มรับและ ไม่ละทิ้งความตั้งใจในการที่จะลองใหม่คราวหน้า เรียกว่ามีทั้งความร่าเริงสดใสและความเข้มแข็งในตัว ทำให้คนที่อยู่รอบข้างมีความสุข คุณยังมีอีกด้านที่เซ็กส์ซี่ซ่อนอยู่ในตัวด้วย บางครั้งบางคราวทำให้พวกผู้ชายตาค้างด้วยความคาดไม่ถึงนอกจากนี้คุณยังมีความหึงหวงซ่อนอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ และนอกจากความน่ารักในตัวแล้ว คุณยังมีความสามารถในการทำงานอีกด้วย แต่เนื่องจากเป็นคนที่ใส่ใจความรู้สึกของคนอื่นมากจนเกินไป ทำให้คุณเหนื่อยมาก ต้องหัดอย่าทำอะไรที่มันฝืนใจตนเองด้วย

2. ระดับความน่ารักของคุณ 80%

เสน่ห์แบบเด็กสาว เรื่องที่คุณทำแม้จะมีผิดพลาดมาก แถมยังเป็นคนที่ใช้เครื่องไม้เครื่องมืออะไรไม่เก่งอีกด้วย แต่ความน่ารักของคุณอยู่ตรงที่การพยายามทำอะไรจริงจังและคุณเป็นคนที่อุทิศตนเพื่อคนที่รู้จักเรื่องใดๆ ที่ผู้หญิงทั่วไปตัดใจยอมแพ้ แต่คุณยังพยายามทำต่อ คุณเป็นสาวสไตล์ ซื่อไร้เดียงสา บริสุทธิ์ และมีความอดทนคล้ายนางเอกละครญี่ปุ่นยุคก่อนนั่นแหละ ชายหนุ่มใดที่อยู่ใกล้คุณจะรู้สึกสงบและสบายใจ เพียงแต่คุณมีความเป็นเด็กในตัวมากเกินไป ทำให้ขาดเสน่ห์แบบหญิงสาวที่เป็นผู้ใหญ่ ชอบให้ผู้ชาย เป็นที่พึ่งฝ่ายเดียว ทำให้บางครั้งฝ่ายชายรู้สึกว่าคุณขาดอะไร บางอย่างไป ข้อเสียอีกข้อหนึ่งของคุณคือ เป็นฝ่ายปรับตัวเข้าหาฝ่ายตรงข้ามอยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่หัดมีความคิดของตัวเองซะบ้าง เสน่ห์ของคุณจะขาดไปอย่างน่าเสียดาย

3. ระดับความน่ารักของคุณ 60%

เสน่ห์ที่แสร้งขึ้น คุณเป็นแบบที่หนุ่มๆ อยากจะได้เป็นน้องสาว อยู่ด้วยแล้วมีทั้งความสนุกและความน่าเอ็นดูเพียงแต่ว่าในบางครั้งคุณเข้าใจความหมายของคำว่า "น่ารัก" ผิดไปสักหน่อย ลองถามตัวเองดูว่าคุณเคยทำตัวออดอ้อนเอ๊าะแอ๊ะให้ดูน่ารักในสายตาฝ่ายตรงข้ามบ้างหรือไม่ วิธีการพูดจาของคุณถ้าลองเทียบกับอายุจริงแล้วอาจพบว่าดูไม่สมอายุสักเท่าไหร่ บางคราวคุณเป็นฝ่าย ตามตื้อผู้ชายมากเกินไปจนทำให้คุณดูน่าหดหู่ในสายตาของคนอื่น แต่กระนั้นก็ตามคุณยังเข้าใจผิดว่าสิ่งนั้นคือเสน่ห์ของคุณเองอีกที่คุณต้องแก้ไขอย่างรีบด่วนคือ เลิกทำตัวน่ารักโดยฝืนธรรมชาติ คุณจะมีเสน่ห์ยิ่งกว่านี้ ถ้าเป็นตัวของตัวเอง

4. ระดับความน่ารักของคุณ 40%

เสน่ห์จากความรู้ คุณเป็นสาวมั่นที่ทรงความรู้และเก่งกาจในเรื่องการงาน ซึ่งเป็นเสน่ห์ประการหนึ่งของคุณซึ่งผู้หญิงหลายคนอยากเอาแบบอย่าง เพียงแต่ในสายตาของผู้ชายนั้น แม้เขาจะเห็นว่าคุณมีเสน่ห์แต่ไม่ กล้าเข้าใกล้ เนื่องจากคุณมีความเป็นผู้ใหญ่มากจนเกินไป ทำให้ผู้ชายไม่กล้าจีบ นอกจากนั้นยังเข้าใจผิด คิดว่าคุณนั้นเคร่งขรึม ไม่สดใส ซึ่งเป็นข้อเสียอย่างหนึ่ง ทำให้คุณไร้ชายเข้ามาใกล้ชิดหรือค่อยๆ ห่างคุณไปโดยไม่รู้ตัว คุณขาดความน่ารักแบบหญิงสาว ถ้าอยากจะปรับปรุงตัวไม่ให้ไร้คู่แล้วล่ะก็ ต้องปลดภาระบนบ่าลงเสียบ้าง ยอมรับความเป็นตัวเองที่เป็น คุณจะสามารถเพิ่มพูนเสน่ห์ของตนเองได้

วันจันทร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เคล็ดลับ.... ต่อต้านริ้วรอย

คุณเคยรู้สึกแปลกใจบ้างไหมว่าเหตุใดผู้หญิงบางคนจึงมีประกายความงามโดดเด่น สะดุดตาคุณเหลือเกิน ทั้ง ๆ ที่เธอผู้นั้นก็ไม่ได้มีใบหน้าที่สวยสมบูรณ์แต่อย่างใด อันที่จริงแล้วคุณเองก็สามารถเป็นอีกคนหนึ่งที่มีความงามโดดเด่นได้เช่นกัน เพียงเอาใจใส่และดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ

เคล็ดลับง่าย ๆ ของการมีผิวสวยใส ไร้ริ้วรอย คือ การรู้จักเลือกใช้ครีมบำรุงผิวอย่างเข้าใจ
เลือกใช้ครีมบำรุงผิวอย่างไรจึงจะดี
ครีมบำรุงผิวโดยทั่วไปจะมีองค์ประกอบหลัก คือ น้ำ น้ำมัน และสารอีมัลชั่น ซึ่งจะช่วยให้น้ำและน้ำมันเข้ากันเป็นเนื้อครีมอย่างที่เห็นโดยทั่วไป ครีมบำรุงผิวที่ดี เมื่อทาบนผิวหนังแล้ว เนื้อครีมควรจะเข้ากับผิวหนังได้ดี ไม่ทำให้รู้สึกเหนียวเหนอะหนะและเนื้อครีมควรกระจายได้ง่ายบนผิวหนัง ที่สำคัญต้องช่วยปกป้องผิวหนังได้นานหลายชั่วโมงในแต่ละวัน องค์ประกอบของน้ำมันต้องซึมซาบได้ดี สามารถซึมลึกสู่ผิวหนังกำพร้าชั้นลึกลงไปได้ ปัจจุบันจึงมีการเลือกสรรชนิดของน้ำมันที่จะให้ประโยชน์ต่อผิวหนังมากกว่าการเป็นเพียงน้ำมันที่เป็นสารหล่อลื่นผิวหนังธรรมดา เช่น น้ำมันโจโจ้บา น้ำมันจากดอกทานตะวัน น้ำมันจากผลแตงกวา และอื่น ๆ น้ำมันที่สกัดจากสมุนไพรธรรมชาติเหล่านี้ อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อเซลล์ผิวหนัง นอกจากนี้ครีมบำรุงผิวที่ดีควรจะมีอาหารเสริมให้แก่ผิวหนังอีกด้วย วิตามินชนิดต่าง ๆ รวมถึงสมุนไพรที่ได้รับการวิจัย ค้นพบและรับรองว่าปลอดภัย เช่น วิตามินเอ, วิตามินอี, วิตามินซี, โคเอ็นไซม์ Q10 เป็นต้น


วิตามินเหล่านี้ได้ชื่อว่าเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ หรือสารต้านการเกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของริ้วรอยแห่งวัย ซึ่งสารต้านการเกิดอนุมูลอิสระสามารถจำแนกได้เป็น 2 ชนิด คือ

1. สารแอนตี้ออกซิแดนท์ชนิดเอนไซม์ (Enzymatic Anti-Oxidants) ปกป้องเซลล์ที่อยู่ภายในร่างกาย ได้แก่ ซุปเปอร์ออกไซด์ ดิสมิวเทส (Super Oxide Dismutase - SOD) คาทาเลส (Catalase) กลูทาไทโอน เพอร์ออกซิเดส (Glutathione Peroxidases - GSHP) กลูทาไทโอน รีดักเทส (Glutathione Reductase) และกลูโคส-6-ฟอสเฟต ดีไฮโดรจีเนส (Glucose-6-Phosphate Dehydrogenase - G-6-PD)

2. สารแอนตี้ออกซิแอนท์ที่ไม่ใช่เอนไซม์ (Non-Enzymatic Anti-Oxidants) มีโมเลกุลขนาดเล็ก ทำงานได้ทั้งภายในและภายนอกเซลล์ แต่จะทำงานภายนอกเซลล์เป็นส่วนใหญ่ คือ ในเส้นเลือด และระหว่างชั้นเนื้อเยื่อ โดยแบ่งประเภทตามการละลายได้เป็น 2 ชนิด

2.1 ไฮโดรฟิลิก แอนตี้ออกซิแดนท์ (Hydrophilic Anti-Oxidants) คือ สารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ละลายในน้ำ เช่น กรดแอสคอร์บิกหรือวิตามินซี

2.2 ไลโพฟิลิก แอนตี้ออกซิแดนท์ (Lipophilic Anti-Oxidants) คือ สารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ละลายในไขมัน ได้แก่ อัลฟ่า โตโกฟิรอล (Alpha Tocopherol) หรือวิตามินอี, เบต้าแคโรทีน (Beta Carotene), ยูบีควิโนน-ยูบีควินอล (Ubiquinone-Ubiquinol) และรีดิวส์ กลูทาไทโอน (Reduced Glutathione - GSHR)

ผิวชั้นนอก
(Epidermis) มีปริมาณของสารแอนตี้ออกซิแดนท์มากกว่าผิวชั้นใน (Dermis) หลายเท่า เนื่องจากเป็นส่วนที่ปกคลุมร่างกายชั้นนอกสุด จึงต้องมีระบบต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นปราการด่านแรกในการปกป้องผิวจากมลภาวะต่าง ๆ

คุณสมบัติสำคัญของสารแอนตี้ออกซิแดนท์ในอุดมคติที่นักวิทยาศาสตร์คิดค้นเพื่อนำมาใช้ผสมในครีมบำรุงผิวต่อต้านริ้วรอย

1. มีหน้าที่สำคัญทางสรีรศาสตร์ต่อผิวหนัง
2. สามารถต่อต้านอนุมูลอิสระได้หลายชนิด
3. หาง่าย ไม่เป็นพิษและไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง
4. ดูดซึมทางผิวหนังได้ดีในรูปของสารออกฤทธิ์
5. ผลิตภัณฑ์มีความคงตัว
6. ไม่เกิดการสันดาปกับออกซิเจนได้ง่าย ๆ ในบริเวณส่วนของผิวที่ต้องการการซ่อมแซมและปกป้อง

วิตามินซี (Ascorbic Acid) ทำหน้าที่กำจัดอนุมูลอิสระและเป็นองค์ประกอบร่วมของเอนไซม์ต่าง ๆ ที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน เช่น เอนไซม์เฟอร์ริกและคิวปริกเมทัลเลี่ยนส์ (Ferric/Cupric Metalions Enzymes) ในขณะเดียวกันวิตามินซียังสามารถทำปฏิกิริยากับอนุมูลอิสระได้หลายชนิด มีความเป็นพิษต่ำ และเป็นตัวดึงวิตามินอีมาจากโตโกฟิรอลแรดิคัลได้ แต่ข้อด้อยของวิตามินซี คือ ถูกทำลายได้อย่างรวดเร็วเมื่อถูกแสง ความชื้น ออกซิเจน ความร้อน และด่าง
ร่างกายต้องการวิตามินซีประมาณวันละ 60 มก. ส่วนผู้หญิงมีครรภ์และผู้สูบบุหรี่ต้องการมากขึ้นเป็นประมาณวันละ 140 มก. อาหารที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ ผลไม้รสเปรี้ยวและผักใบเขียว การรับประทานวิตามินซีค่อนข้างปลอดภัย เนื่องจากวิตามินซีละลายในน้ำได้ วิตามินซีที่รับประทานเข้าไปจะไปอยู่ในผิวชั้นนอกมากกว่าผิวชั้นในถึง 5 เท่า และมีผลในการช่วยลดปริมาณอนุมูลอิสระในผิว ช่วยสมานแผล ชะลอการร่วงโรยของผิว และป้องกันการเกิดมะเร็งผิวหนัง

วิตามินซีส่วนใหญ่อยู่ในรูปของกรดแอล-แอสคอร์บิก (L-Ascorbic Acid) ได้แก่ แอสคอร์บิลพาลมิเทต และแอสคอร์บิลฟอสเฟต ซึ่งแอสคอร์บิลฟอสเฟตเป็นวิตามินซีที่ละลายน้ำได้ดีและคงตัวอยู่ได้นานถึง 6 เดือน จึงมีผู้นำมาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์หลายชนิด ส่วนแอสคอร์บิลพาลมิเทตนั้นละลายได้ทั้งในน้ำและไขมัน จึงใช้เป็นส่วนผสมในครีม โลชั่น และน้ำมัน ข้อดีของสารตัวนี้คือมีค่า pH หรือค่าความเป็นกรด-ด่าง ที่เป็นกลางจึงไม่ระคายเคืองต่อผิว

จากการทดสอบพบว่า การทาวิตามินซีบนผิวสามารถลดอาการบวมแดงหรืออาการไหม้จากแสงแดดได้ โดยหากผสมวิตามินอี ลงไปด้วยก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ได้ผลใกล้เคียงกับครีมกันแดดที่มีออกซิเบนโซนเป็นส่วนประกอบ และหากใช้วิตามินซี วิตามินอี และออกซิเบนโซน ร่วมกันก็จะสามารถป้องกันภาวะพิษจากแสงแดดได้เกือบ 100% อย่างไรก็ตาม วิตามินซีไม่สามารถป้องกันการหย่อนยานของผิวได้ รวมทั้งยังไม่มีผลการศึกษาและทดสอบกับคนจำนวนมาก เพื่อยืนยันว่าวิตามินซีมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใดในเรื่องดังกล่าว
วิตามินอี (Alpha-Tocopherol) วิตามินอีประกอบด้วยโทโคฟีโรลส์ (Tocopherols) และโทโคเทรียโนลส์ (Tocotrienols) ซึ่งพบในผัก น้ำมันพืช เมล็ดพืช ข้าวโพด ถั่ว แป้งสาลี เนยเทียม เนื้อสัตว์ และนม วิตามินอีเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์สำคัญในพลาสม่าและเม็ดเลือดแดงที่ช่วยปกป้องสารประกอบไขมัน (Lipid) ในเนื้อเยื่อเซลล์จากอนุมูลอิสระ จากการศึกษาพบว่า ผิวหนังบริเวณที่มีต่อมไขมันมาก เช่น ใบหน้า มีปริมาณวิตามินอีมากกว่าผิวหนังบริเวณแขนถึง 20 เท่า เนื่องจากต่อมไขมันคือ ช่องทางสำคัญในการนำวิตามินอีสู่ผิวหนัง วิตามินอีสามารถละลายได้ในไขมัน ทนความร้อนและความเป็นกรด-ด่างได้ดี แต่จะเสื่อมสภาพเมื่อสัมผัสกับแสงและออกซิเจน

ร่างกายสามารถรับวิตามินอีได้ถึงวันละ 3,000 มก. อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานโดยไม่เป็นอันตราย แต่สำหรับผู้ที่มีอาการของความดันโลหิตและเบาหวาน ไม่ควรใช้ในขนาดสูงกว่า 4,000 มก. และพบว่ายาระบายและยาคุมกำเนิดมีฤทธิ์ต้านวิตามินอีด้วย วิตามินอีมีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องการรักษาความเยาว์วัยของผิว คือ ช่วยในเรื่องการสร้างตัวของเซลล์ใหม่ การทำงานของต่อมและฮอร์โมน รวมทั้งการซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายไป การขาดวิตามินอี ทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงเปราะ แตกง่าย และคอลลาเจนที่ผิวหนังลดลง จึงเกิดเป็นริ้วรอย และมีการสะสมของไขมันอย่างผิดปกติ

ผลการทดลองพบว่า วิตามินอี สามารถลดอาการไหม้จากแสงแดด ช่วยลดริ้วรอย และทำให้ผิวอ่อนนุ่มขึ้น ในการทดลองเกี่ยวกับมะเร็งผิวหนัง การทาและการรับประทานวิตามินอีจะช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งในสัตว์ทดลองได้ ส่วนการรับประทานวิตามินเอและวิตามินอีอย่างสม่ำเสมอ ก็สามารถลดอัตราเสี่ยงในการเกิดเซลล์มะเร็งขั้นพื้นฐานได้ถึง 70% และพบด้วยว่า การรับประทานวิตามินอีวันละ 400 มก. ในผู้ที่เป็นแผลในกระเพาะอาหารจะทำให้แผลหายเร็วกว่ากลุ่มที่ใช้ยาหลอก แต่การทาวิตามินอีกลับไม่มีผลต่อความหนาและสภาพของแผลเป็น

วิตามินเอ (Retinol)พบมากในพืชที่มีสีเขียวและเหลือง ไข่แดง เนย ตับ และน้ำมันตับปลา ร่างกายจะสะสมวิตามินเอไว้ในตับ วิตามินเอจะออกฤทธิ์เมื่อแปรสภาพเป็นกรดเรติโนอิก แต่จะเสื่อมสภาพจากแสง ออกซิเจน และค่า pH ที่เปลี่ยนแปลง สารธรรมชาติและอนุพันธ์สังเคราะห์จากวิตามินเอนั้นเรียกรวม ๆ ว่า เรตินอยด์ (Retinoids) เรตินอยด์ เป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง อาทิ ช่วยควบคุมการเจริญเติบโต แยกความแตกต่างของเซลล์บุผิว ชะลอการขยายตัวของเซลล์มะเร็ง ลดอาการอักเสบ กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันโรค กระตุ้นการซ่อมแซมผิวหนังที่ถูกทำลายจากแสงแดด ช่วยยับยั้งกระบวนการสร้างเอนไซม์เมทาลโลโปรตีเนส (Metallo Proteinase Enzyme) ที่เป็นตัวการในการสลายคอลลาเจน นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการเสริมสร้างคอลลาเจนอีกด้วย การทาเรตินอยด์จะช่วยลดริ้วรอย ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น กระ ฝ้า จางลง ลดจำนวนและขนาดของแอคตินิค เคราโตส (Actinic Keratoses)

สารตั้งต้นของวิตามินเอ ทำหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระและปกป้องเนื้อเยื่อเซลล์จากอนุมูลอิสระไลพิดเพอร์ออกไซด์ (Lipid Peroxidation) พบมากในผักใบเขียว แครอท มันฝรั่งหวาน แคนตาลูป เนื้อสัตว์ เนย และเนยแข็ง และถูกดูดซึมสู่ร่างกายได้ดีเมื่อรับประทานร่วมกับอาหารที่มีไขมัน

ในการทดลองกับสัตว์พบว่า เบต้าแคโรทีน สามารถยับยั้งมะเร็งผิวหนังที่เกิดจากแสงแดด แต่ประสิทธิภาพนี้ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ในคน เราสามารถรับประทานเบต้าแคโรทีนได้ถึงวันละ 180 มก. โดยไม่เป็นอันตราย แต่หากรับประทานมากกว่า 30 มก. ติดต่อกันเป็นเวลานานอาจทำให้ผิวเป็นสีเหลืองได้
วิตามินบี 3 (Niacinamide)วิตามินที่ละลายในน้ำ พบในเนื้อเยื่อ ทำหน้าที่เผาผลาญสารอาหารเพื่อให้พลังงานแก่ร่างกาย มีคุณสมบัติในการสร้างคอลลาเจน เพิ่มอัตราการผลัดตัวของเซลล์ผิวเก่า และกระตุ้นการสร้างฟิแลกกริน (Filaggrin) และอินโวลูกริน (Involucrin) มีความคงตัวสูงเมื่อถูกแสง ออกซิเจน และความร้อน สามารถทำงานร่วมกับวิตามินอีได้ดี

โคเอ็นไซม์ คิวเท็น และ โค คิวเท็น ยูบีควิโนน (Co-Enzyme Q10, Co Q10 Ubiquinone) โคเอ็นไซม์ คิวเท็น เป็นโมเลกุลเล็ก ๆ ที่มีอยู่ในเซลล์ของร่างกายตามธรรมชาติ ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกเมื่อ 40 ปีมาแล้ว หลังจากนั้นก็ได้มีการใช้โคเอ็นไซม์ คิวเท็นกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งทำหน้าที่สำคัญในกระบวนการเผาผลาญเปลี่ยนสารอาหารให้เป็นพลังงาน พบมากในอวัยวะที่มีการเผาผลาญสูง ได้แก่ หัวใจ ไต และตับ หากขาดคิวเท็น เซลล์จะเสื่อมสภาพ เป็นผลให้ผิวพรรณทรุดโทรมและเกิดริ้วรอยก่อนวัย ส่วนยูบีควินอลซึ่งเป็นรูปลดทางเคมีของยูบีควิโนน มีคุณสมบัติเป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ละลายในไขมันเพียงชนิดเดียวที่ร่างกายสร้างขึ้นมาได้เอง จะพบยูบีควินอลในบริเวณผิวหนังชั้นนอกมากกว่าผิวชั้นในถึง 10 เท่า

ในการทดสอบบนเซลล์ผิวหนังมนุษย์ โคเอ็นไซม์ คิวเท็น สามารถป้องกันการสันดาปจากแสงยูวีเอ ช่วยชะลอความเสื่อมตามธรรมชาติ ให้เซลล์สร้างเส้นใยด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ เพิ่มระดับของกรดไฮยาลูโรเนทที่ให้ความชุ่มชื้นในผิวชั้นใน ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ในเคราติโนไซด์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของผมและเล็บ มีความระคายเคืองต่ำแม้จะใช้ในปริมาณความเข้มข้นสูง สามารถใช้ในผิวบอบบาง แต่อาจมีอาการคันยิบ ๆ รอบจมูกเมื่อใช้ร่วมกับเครื่องสำอางบางชนิด อย่างไรก็ตาม จากการทดลองกับหนู พบว่า โคเอ็นไซม์ คิวเท็น ไม่ได้ช่วยยืดอายุ และไม่มีผลต่อการสะสมตัวของกระสีที่เกิดจากไขมันในเนื้อเยื่อซึ่งพบในสิ่งมีชีวิตที่อายุมากแล้ว จากการทดลองทาโคเอ็นไซม์ คิวเท็น สังเคราะห์รอบดวงตาของอาสาสมัคร พบว่าสามารถลดรอยย่นรอบดวงตาได้ ในปัจจุบันมีการนำโคเอ็นไซม์ คิวเท็นมาใช้เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์เพื่อป้องกันและรักษาโรคหลายชนิด รวมทั้งชะลอความแก่

ซุปเปอร์ออกไซด์ ดิสมิวเทส (Super Oxide Dismutase - SOD)เป็นเอ็นไซม์ชนิดหนึ่งในระบบป้องกันที่เป็นตัวทำลายอนุมูลอิสระที่เกิดจากการเผาผลาญภายในของร่างกาย จากการทดลองพบว่า การเลี้ยงหนอนปกติด้วยสารสังเคราะห์ที่คล้ายกับซุปเปอร์ออกไซด์ ดิสมิวเทส จะช่วยยืดอายุได้ถึง 44% และในหนอนที่แก่เร็วกว่าปกติจะช่วยยืดอายุได้ถึง 67%

สารประกอบฟลาโวนอยด์ (Flavanoids Compounds)สามารถยับยั้งเอ็นไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างอนุมูลอิสระ เช่น แซนทีน ออกซิเดส
(Xanthine Oxidase) และไลโปเปอร์ออกซิเดส (Lipo Peroxidase) นอกจากนี้ยังสามารถต่อต้านอนุมูลอิสระและปกป้องการแตกตัวของดีเอ็นเอ (DNA) ได้ด้วย สารในกลุ่มนี้ ได้แก่ รูติน (Rutin) พีโนจีนอล (Pynogenol) เควอเซติน (Quercetin) แคทเทชิน (Catechin) และแนรินกิน (Naringin) โดยที่สารรูตินและเควอเซติน มีความสามารถในการต่อต้านอนุมูลอิสระมากกว่าวิตามินซีถึง 10 เท่า รูตินและกรดโคลโรเจนิก (Chlorogenic Acid - CGA) พบมากในใบยาสูบ ส่วนพีโนจีนอลหรือวิตามินพี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทนความร้อนได้ดี สกัดได้จากเปลือกสน (French Maritime Pine) และเมล็ดองุ่น

นอกจากวิตามินที่ผ่านการทดสอบมาอย่างมากมายแล้ว สมุนไพรไทย ๆ เช่น ว่านหางจระเข้ หรืออโลเวร่า ก็นับเป็นสมุนไพรหลักในวงการวิทยาศาสตร์ทั่วไปว่ามีประโยชน์มหาศาลต่อผิวหนัง มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับวิตามินอีธรรมชาติ คือ ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ในผิวหนังชั้นลึกที่สุดของหนังกำพร้า มีผลทำให้ช่วยสมานแผล รวมถึงการใช้ทารักษาแผลน้ำร้อนลวก แผลเป็น ฯลฯ และมีการวิจัยพบว่า ส่วนผสมของวิตามินอี คือ ดีแอล-แอลฟ่า-โทโกเฟอรอล (DL-Alfa-Tocopharol) ร่วมกับอโลเวร่า ในครีมบำรุงผิวจะช่วยป้องกันผิวหนังจากดวงอาทิตย์ได้อีกด้วย

ควรใช้ครีมบำรุงผิวบ่อยแค่ไหน

การใช้ครีมบำรุงผิวควรใช้อย่างสม่ำเสมอ เชน ทุกครั้งที่อาบน้ำชำระร่างกาย เป็นการป้องกันไม่ให้ผิวหนังแตกเป็นขุย บางคนผิวแห้งแตกเป็นขุยและมีอาการคันร่วมด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน้าหนาว มักจะเกิดการคันสาเหตุจากผิวหนังแห้งมากนั่นเอง การใช้ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของวิตามินธรรมชาติและสารสกัดจากสมุนไพรก็จะช่วยเพิ่มประโยชน์และคุณค่าต่อผิวหนังมากยิ่งขึ้น

หากคุณรู้จักวิธีเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเอาใจใส่อย่างสม่ำเสมอดีแล้ว คราวนี้ตำแหน่งสาวงาม สวย สะดุดตา จะเป็นของคุณบ้างอย่างไม่ไกลเกินเอื้อมแน่ ๆ...