วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2551

ถนอมตาสวย ด้วย วิถีธรรมชาติ

เมื่อพูดถึงการดูแลผิว ไม่ว่าผิวส่วนไหน ก็แน่นอนอยู่แล้วค่ะว่าจะต้องเกี่ยวพันกับสุขภาพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้แต่ผิวรอบดวงตา ที่เมื่อใดที่เราเริ่มมีปัญหาสุขภาพ โดยเฉพาะเมื่อร่างกายเกิดอาการ ธาตุไฟไม่สมดุล ผิวบริเวณนี้จะได้รับผลกระทบก่อนใครเพื่อนเลยทีเดียว



ปัจจุบันนี้ แม้ว่าจะมีผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลรอบดวงตาโดยเฉพาะ แต่ถึงอย่างไร เราก็ยังต้องพึ่งการดูแลด้วยธรรมชาติควบคู่ไปพร้อมๆกัน ซึ่งในเรื่องนี้ นายแพทย์แอนดรูว์ ไวล์ จากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ได้ร่วมกับผลิตภัณฑ์ออริจินส์ มาให้คำแนะนำถึงในการดูแลสุขภาพผิวรอบดวงตา โดยเน้นเรื่องการดูแลสุขภาพโดยผสมผสานเอาวิธีธรรมชาติเข้าไปด้วย ผมคิดว่า แนวความคิดในเรื่องการดูแลสุขภาพด้วยการผสมสานวิธีธรรมชาติเข้าไปด้วยนั้น มีข้อเด่นคือ คุณเป็นผู้กุมบังเหียนสุขภาพของตัวเองไว้ในมือ คุณจะรู้อย่างแน่ชัดว่า สิ่งที่คุณกินหรือทำนั้น ก่อผลต่อสุขภาพอย่างไร



วิธีการดูแลสุขภาพผิวรอบดวงตาที่คุณหมอแนะนำ ก็มีอยู่หลายข้อทีเดียวค่ะ ซึ่งเราสามารถนำไปปฏิบัติกับตัวเองได้อย่างง่ายๆ

- ควรตรวจสุขภาพตาเป็นประจำทุกๆ 2 - 4 ปี แต่สำหรับผู้ที่อายุ 65 ปีขึ้นไปแล้ว ควรจะตรวจให้บ่อยขึ้นคือทุกๆ 1 - 2 ปี

- สำหรับผู้ที่ต้องนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นประจำ ควรเริ่มฝึกนิสัยในการพักสายตา โดยการมองออกไปไกลๆ ทุกๆ 10 - 15 นาที

- ควรสวมแว่นตาดำที่สามารถปกป้องและกรองแสงยูวีได้ ทุกครั้งที่ต้องออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งที่มีแดดจัดจ้า

- ปกป้องและระวังไม่ให้ดวงตาสัมผัสกับควันและฝุ่นละอองต่างๆโดยตรง

อาหารเสริมเพื่อดวงตาสดใส

- รับประทานผัก ผลไม้ ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti Oxidant) ในปริมาณสูง เช่น ผลบลูเบอร์รี่ ผักใบเขียว และแครอท ซึ่งจะช่วยลดอันตรายจากอนุมูลอิสระในแสงแดดที่ทำลายจอตา และช่วยลดปัญหาตาบอดจากจอประสาทตาเสื่อมได้ อีกทั้งช่วยให้สายตาทำงานดีขึ้นในที่มืด และมีความไวในที่แสงน้อยๆดีกว่า

- รับประทานผักที่มีสารลูทีน (Lutien) และซีแซนทีน (Zeaxanthin) ซึ่งเป็นสารแคโรทีนอยด์ชนิดหนึ่ง มีสีเหลือง พบมากในพืชผักที่มีสีเหลืองและสีเขียวเข้ม เช่น ผลอะโวคาโด บร็อคโคลี่ ข้าวโพด ฟักทอง ผักโขม และผักกวางตุ้ง เหล่านี้ล้วนเป็นสารธรรมชาติที่พบมากในตาบริเวณจุดรับภาพและจอประสาทตา ทำหน้าที่ช่วยกรอง หรือป้องกันรังสีจากแสงแดด ช่วยปกป้องเซลล์ของจอประสาทตา ไม่ให้ถูกทำลาย โดยการต้านอนุมูลอิสระพร้อมทั้งกรองแสงสีน้ำเงินที่จะทำลายดวงตา


วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2551

เคล็ดลับความงามในที่ทำงาน


ถึงแม้ในแต่ละวันจะยุ่งวุ่นวายมากแค่ไหน สาวทำงานทั้งหลายต้องไม่ลืมใส่ใจในเรื่องความสวยความงามและการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงด้วย

เพราะในโลกของธุรกิจและการทำงาน ความประทับใจตั้งแต่แรกพบ (First Impression) เป็นสิ่งสำคัญที่สุด การมีรูปร่างหน้าตาที่ชวนมอง ช่วยส่งเสริมให้เกิดความมั่นใจและทำให้บุคลิกของคุณดูโดดเด่นกว่าคนอื่นๆ ซึ่งจะช่วยนำไปสู่ความสำเร็จทั้งในด้านการงานและชีวิตส่วนตัว วันนี้เรามีเคล็ดลับความงามสำหรับสาวทำงานคนเก่งมาฝาก


*ผิวพรรณสำคัญอันดับหนึ่ง

ผิวพรรณโดยเฉพาะผิวหน้านั้นมีความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง เพราะผิวหน้าสามารถบ่งบอกได้ว่าเจ้าของผิวนั้นมีสุขภาพดีหรือไม่ ตลอดจนมีความรักและเอาใจใส่ตัวเองดีเพียงใด ควรเริ่มจากการประเมินว่าผิวของตัวเองนั้นเป็นผิวประเภทใด และมีปัญหาผิวอะไรบ้าง ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสมกับผิวตนเอง รวมทั้งทำความสะอาดผิวหน้าวันละ 2 ครั้งอย่างสม่ำเสมอ

หากใช้เครื่องสำอางเป็นประจำ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ประเภท make up remover เพื่อเช็ดทำความสะอาดก่อน นอกจากนี้ การบำรุงและป้องกันผิวจากแสงแดดก็เป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากสาวทำงานทุกวันนี้ต้องอยู่นอกบ้านและเผชิญกับแสงแดดบ่อยมากยิ่งขึ้น จนก่อให้เกิดปัญหาผิวไวต่อแดด แม้จะเผชิญแดดเพียงไม่นาน ผิวก็คล้ำเสียได้ง่าย ควรลองมองหาผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาขึ้นสำหรับผิวไวต่อแดดโดยเฉพาะ


*แต่งหน้าเพื่อความงามที่เปล่งประกาย

การแต่งหน้าอย่างเหมาะสมนับเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ให้เลือกเครื่องสำอางที่ช่วยดึงความงามตามธรรมชาติของคุณออกมา แต่ไม่ถึงกับเปลี่ยนคุณไปเป็นคนละคน เช่น เลือกสีของรองพื้นที่กลมกลืนไปกับสีผิว หากคุณมีผิวขาว ควรเลือกบลัชออนสีชมพูเบจ หรือสีน้ำตาลอมส้ม ในขณะที่ผิวสีแทนควรเลือกสีพีช หรือสีส้ม ที่จะช่วยขับใบหน้าให้ดูโดดเด่น ดูสุขภาพดี สำหรับสีสันเครื่องสำอางอื่นๆ ควรเลือกสีให้ไปในโทนเดียวกัน แต่โดยรวมควรจะดูนุ่มนวล ไม่จัดจ้าน


*แต่งกายดีมีชัยไปมากกว่าครึ่ง

การแต่งตัวดีนับเป็นกุญแจสำคัญอีกดอกหนึ่งที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ หากสำนักงานของคุณมีกฎเรื่องการแต่งกาย จงเคารพกฎนั้นเสมอ ควรเลี่ยงการแต่งกายที่ดูโป๊จนเกินงาม เช่น เสื้อซีทรู หรือกระโปรงสั้นรัดรูป ควรเลือกชุดทำงานที่เหมาะกับรูปร่าง เช่น สาวไทยร่างเล็ก ควรเลือกสูทแจ็กเกตที่ยาวระดับสะโพก ไม่ควรเลือกที่สั้นเหนือเอว เพราะจะยิ่งทำให้ร่างกายส่วนบนดูสั้นเข้าไปอีก สาวรูปร่างสูง ควรใช้เข็มขัดเส้นกว้าง หลีกเลี่ยงเสื้อผ้ารัดรูปและกระโปรงที่สั้นหรือยาวมากเกินไป สำหรับสาวสะโพกใหญ่ ควรใส่เสื้อสีอ่อนเพื่อดึงสายตาขึ้นมาด้านบน หลีกเลี่ยงกระโปรงทรงสุ่มบาน แต่ควรเลือกใส่กระโปรงทำงานทรงตรง หรือเอไลน์แทน

ลองทำดูนะค่ะ จะได้เกิดความประทับใจกับผู้พบเห็น.....


วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2551

เลือกกินอย่างไรไม่ให้อ้วน



สาวๆ ที่มีรูปร่างเพรียวสมส่วนทั้งหลายคงต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ที่จะควบคุมรูปร่างให้ฟิตอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ใช่ประเดี๋ยวเพรียว ประเดี๋ยวฉุให้คนงงเล่นเหมือนใครบางคนเรามีวิธีควบคุมรูปร่างของคุณให้ดูระหง, สุขภาพดี แบบไม่เคร่งเครียดมากนักมาฝากค่ะ


1. รับประทานผักและผลไม้ให้มากเป็นประจำ นอกจากจะช่วยควบคุมน้ำหนักแล้ว ผักผลไม้ยังอุดมไปด้วยวิตามินที่มีประโยชน์ต่อความสวยของคุณ และช่วยลดระดับไขมันโคเรสเตอรอลอย่างได้ผล


2. รับประทานธัญพืชและถั่วต่างๆให้มาก เช่น ข้าวกล้อง, งา, ถั่วต่างๆ , ลูกเดือย ซึ่งจะมีเส้นใยอาหารให้คุณอื่มเร็วขึ้นแถมยังช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือด และรักษาระดับโคเลสเตอรอลอีกด้วย


3. รับประทานปลา หรือเนื้อสัตว์ไม่ติดมันเป็นประจำโดยเฉพาะเนื้อปลาซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นโปรตีนชั้นดี, และมีกรดไขมัน โอเมก้า 3 ที่ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ เช่น ปลาทูน่ากระป๋อง ,หรือปลาแซลมอน ปริมาณไขมันที่คุณ ควรรับประทานต่อวัน ไม่ควรเกิน 5-8 ช้อนชานะคะ และหากจะรับประทานสลัดก็ไม่ควรใส่น้ำสลัดมากกว่า 5 ช้อนชา


4. หลีกเลี่ยงอาหารหวานต่างๆ เช่น น้ำอัดลม, น้ำหวาน, ขนมหวาน หรือแม้แต่ผลไม้ที่มีรสหวานมากๆ ด้วยค่ะเพราะของหวานให้แต่พลังงาน ซึ่งหากรับประทานมากก็จะเกินความต้องการไปพอกพูนตามร่างกายของคุณให้อวบอ้วนเปล่าๆ


5. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารเค็มจัด โดยคุณควรรับประทานเกลือให้น้อยกว่า 6 กรัมต่อวัน หรือประมาณ 1 ช้อนชาต่อวัน


6. งดหรือลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ โดยไม่ควรดื่มมากกว่า 1 แก้วต่อวันค่ะ เพราะนอกจากจะก่อโทษต่างๆ แล้วยังมีแคลอรี่สูงอีกด้วยค่ะ


หากคุณรับประทานอาหารตามแนวทางนี้ จะทำให้คุณรักษารูปร่างให้สมส่วนได้อย่างยาวนาน ไร้ไขมันพอกพูนและสุขภาพดี ไม่ผอม เหี่ยว ซีดเซียว ไร้เรี่ยวแรง จนดูโทรมมากกว่าสวย........

+++++++++++++++++++++++

วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2551

ใส่ใจผิวพรรณ
การดูแลผิวหน้าในแต่ละวัย ย่อมแตกต่างกันตามสภาพผิวที่เปลี่ยนแปลงไปตามวัยที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ยังเป็นสาวหน้าใส ผิวพรรณเต่งตึง การทาแค่ครีมกันแดด และล้างหน้าด้วยเคลนเซอร์สูตรอ่อนโยนก็อาจจะเพียงพอ แต่เมื่อวัยมากขึ้นรอยตีนกาเริ่มมาเยือน ผิวหน้าที่เคยเนียนใส กลับดูแห้งหรือหยาบมากขึ้น การเลือกผลิตภัณฑ์และการดูแลผิวอาจจะดูยุ่งยาก และต้องใส่ใจกันมากขึ้น เพราะปัญหาของผิวจะเริ่มปรากฎมากขึ้นนั่นเอง

วัย15-20
การดูแล : วัยรุ่นกับสิวเป็นของคู่กันเสมอ สิวในช่วงนี้มักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศ และมีตัวก่อกวนอื่น ๆ ร่วมด้วยเช่น การแคะ แกะ หรือบีบสิว รวมทั้งความเครียดและอดนอนจริง ๆ แล้วสิวที่เกิดขึ้นมักหายไปเองตามธรรมชาติถ้าเราไม่ไปกดสิว ปัญหารอยดำและการอักเสบก็จะไม่เกิดขึ้น แต่หากไม่หาย ก็ปรึกษาคุณหมอเถอะค่ะ การดูแลผิวในวัยสาวน้อย ควรล้างหน้าด้วยสบู่อ่อน ๆ วันละ 2 ครั้งก็พอ และหลีกเลี่ยงเคลนเซอร์หรือโทนเนอร์ที่มีส่วนผสมของแอลกฮอล์เพราะค่อนข้างแรงกับผิวอาจทำให้ผิวใส ๆ ดูกร้านก่อนวัยได้
วัย 20 ปีขึ้นไป
การดูแล : ปัญหาเรื่องสิว จะลดน้อยลง ยกเว้นในคนที่ผิวมัน ที่อาจมีเม็ดสิวเป้ง ๆ ให้รำคาญใจได้ หรือคนที่มีฮอร์โมนเพศสูงก็อาจมีสิวโผล่อยู่เรื่อย ๆ นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์ที่เคยใช้ในช่วงสาววัย 16 ได้ดีบางครั้งอาจจะไม่เหมาะกับสาววัยนี้ก็เป็นได้ เนื่องจากผิวหน้าที่เคยอ่อนใสอาจดูหมองคล้ำหรือแห้งกร้านได้ตามวัยที่มากขึ้น การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA จะช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายและเร่งการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ทำให้ผิวหน้าสดใสเปล่งปลั่งมากขึ้นและไม่ลืมทาครีมป้องกันแดดทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน เพราะแสงแดดจะทำให้ริ้วรอยมาเยือนผิวได้เร็วขึ้น ป้องกันไว้ดีกว่าแก้แน่นอนค่ะ

นอกจากนี้การใช้ AHA จะทำให้ผิวไวต่อแสงแดดมากขึ้นจึงจำเป็นที่จะต้องใช้ครีมกันแดดทุกวัน และหากเลี่ยงแดดแรง ๆ ได้ก็ควรทำค่ะ หรือจะเลือกการขัดผิวด้วยครีมขัดผิวซึ่งผลิตมาเพื่อใช้กับผิวหน้าที่บอบบางก็สะดวกดีค่ะ วิธีขัดผิวที่ถูกต้อง ควรทำหลังจากทำความสะอาดหน้าแล้วแต้มเจลหรือครีมขัดผิวลงบนผิวหน้า 5 จุดคือ บริเวณหน้าผาก แก้มทั้งสองข้างจมูก และคาง เว้นบริเวณรอบดวงตาไว้ แล้วใช้นิ้วกลางและนิ้วนางซึ่งมีแรงกดค่อนข้างเบานวดเป็นวงกลมไปในทิศเดียวกัน จะช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้วให้หลุดลอก ทำให้ผิวหน้านวลผ่องสดใสขึ้น ทำสัปดาห์ละครั้งก็พอค่ะ หลังจากขัดผิวแล้วอย่าลืมทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ทุกครั้ง ซึ่งการขัดผิวจะช่วยให้ครีมบำรุงผิวซึมสู่ผิวได้ล้ำลึกขึ้น

วัย 30 ปีขึ้นไป
การดูแล : ผิวหน้าของสาววัยนี้ จะมีปัญหาของริ้วรอยใต้ตา โดยเฉพาะเวลาที่คุณยิ้ม รอยตีนกาและรอยเหี่ยวย่นบนหน้าผาก จะเริ่มปรากฎชัดเจนขึ้น นอกจากนี้ผิวพรรณที่เคยเปล่งปลั่ง สดใสก่อนหน้านี้ ก็จะเริ่มขาดความยืดหยุ่น ผิวหน้าจะดูหยาบกร้านขึ้น รูขุมขนโตขึ้น การดูแลผิวจึงต้องครบเครื่องมากขึ้น ทั้งการขัดผิวและมาสค์หน้า จะช่วยขจัดการหลุดลอกของผิวชั้นนอก และช่วยดูดซับสิ่งสกปรกตกค้างจากรูขุมขนส่วนลึกได้ดี ทำให้หน้าสะอาดกระชับและสดใสขึ้น และสำหรับผิวหน้าที่เริ่มมีริ้วรอย ควรเลือกมาส์คที่มีสารกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน หลังการพอกหน้าและล้างสะอาดแล้ว จะทำให้หน้าผ่อง เนียนนุ่ม และมีความยืดหยุ่นอย่างเห็นได้ชัด ส่วนการเลือกครีมบำรุงผิวของสาววัยนี้ ควรเน้นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวเป็นพิเศษ เพราะผิวหน้าจะเริ่มแห้งมากขึ้น น้ำหล่อเลี้ยงผิวหน้าตามธรรมชาติผลิตน้อยลง และควรเลือกชนิดเนื้อเบาเพื่อไม่ให้ไปอุดตันรูขุมขน นอกจากนี้การใช้อายเจลหรืออายครีมก็จะช่วยทำให้ผิวรอบดวงตา ชุ่มชื้นและสดใสขึ้น ส่วนครีมกันแดด ก็จำเป็นต้องใช้เป็นประจำทุกวัน มาสก์พอกหน้าแบบประหยัดมาสค์พอกหน้าจากโยเกิร์ตล้างหน้าให้สะอาดซับเบาๆ ด้วยผ้าขนหนู แล้วใช้มือแตะโยเกิร์ต (ให้ใช้ชนิดที่ไม่ผสมเนื้อผลไม้) มาพอกให้ทั่วผิวหน้า เว้นรอบปากและดวงตา นวดและคลีงเบาๆ พอกไว้ประมาณ 20 นาที จึงล้างออก หมั่นทำสัปดาห์ละ3 ครั้ง ผิวจะเปล่งปลั่งสดใส

มาสค์พอกหน้าจากมะละกอนำมะละกอมาปั่นให้ละเอียด นำไปพอกให้ทั่วผิวหน้า ในมะละกอจะมีเอนไซม์ที่ช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้วให้หมดได้ จึงทำให้ผิวหน้าสดใสเปล่งปลั่ง มือเป็นบริเวณที่ฟ้องถึงวัยของคุณได้เช่นกัน เนื่องจากเราใช้มือในการหยิบจับสิ่งของอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งการสัมผัสกับสารเคมีก็อาจทำให้ผิวบริเวณนี้หยาบกร้าน เกิดริ้วรอย ดูไม่น่ามองได้

วัย 20 ขึ้นไป
การดูแล : ในตอนกลางวัน ควรทาครีมกันแดด เนื่องจากเป็นส่วนที่อาจถูกแสงแดดได้ ส่วนในตอนกลางคืน ควรทามอยส์เจอร์ไรเซอร์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับมือ นอกจากนี้ทุกสัปดาห์ ควรขัดผิวบริเวณมือด้วยครีมสครับสูตรอ่อนโยน เลือกใช้สครับที่ทำมาเพื่อผิวหน้าก็ได้ค่ะ การขัดผิวจะช่วยขจัดเซลล์ที่ตายแล้ว ให้หลุดลอกออก และเร่งการสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาแทน และยังช่วยให้การทาครีมบำรุงผิว ซึมซาบสู่ผิวได้ดีขึ้น

วัย 30 ปีขึ้นไป

การดูแล : เมื่ออายุมากขึ้น ผิวบริเวณนี้จะแห้งและหยาบกร้านมากขึ้น เพื่อชะลอความเหี่ยวย่น การทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ซึ่งมีสารกันแดดด้วย เป็นสิ่งจำเป็นมาก นอกจากนี้ วัยที่มากขึ้น ทำให้การผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวโดยธรรมชาติทำได้ช้าลง การขัดผิวสัปดาห์ละ 1 ครั้ง จึงเป็นสิ่งที่ควรทำค่ะ เพราะจะช่วยให้ผิวพรรณดูสดใสและช่วยให้ครีมบำรุงผิวซึมลึกสู่ผิวได้มากขึ้น และหลังจากขัดผิวแล้ว อย่าลืมทามอยส์เจอร์ไรเซอร์ด้วยทุกครั้ง Jeanette Graf ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณจากนิวยอร์ค แนะว่าการทาครีมบำรุงมือให้ได้ผลดีและไม่สิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์นั้น ควรทาทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมงก่อนที่จะเข้านอน และครีมที่มีส่วนผสมของเรตินอลเอจะช่วยลดเลือนริ้วรอยของผิวได้

หันมาใส่ใจกับการดูแลผิวสักนิดนะค่ะ


วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2551

ครีมถนอมผมจากพืชผัก


นอกจากจะช่วยให้ใบหน้าของคุณดูดีขึ้นแล้ว เส้นผมนิ่มสลวย ยังบ่งบอกถึงสุขภาพที่ดีอีกด้วย แต่ถ้าคุณกำลังกลุ้มใจกับปัญหาผมเสีย เรามีวิธีแก้ด้วยพืชผักมาบอกกันค่ะ


น้ำมันมะกรูด
น้ำมะกรูด 1-2 ช้อนชา ชะโลมนวดให้ทั่วศีรษะทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด แค่นี้ผมของคุณก็จะดูสวยมีชีวิตชีวากับเขาบ้างแล้วล่ะค่ะ



ชะอม

ถ้าผมของคุณขาดชีวิตชีวา เจอลมแรงยังแทบไม่กระดิก แล้วล่ะก็ แนะนำว่าให้ใช้สูตรชะอม โดยใช้ใบชะอมประมาณ 1 กำมือนำมาต้มกับน้ำสะอาด 3 ถ้วยจนเดือด กรองเอาแต่น้ำเขียวๆ นำไปวางไว้ให้เย็น หลังจากสระผมสะอาดแล้ว นำผ้าขนหนูชุบน้ำชะอมพอหมาดๆ เช็ดถูให้ทั่วศีรษะ จะช่วยคืนสภาพเส้นผมให้ดีขึ้นได้ และยังช่วยไม่ให้ผมแตกปลายอีกด้วย แต่ก็คงต้องทนกลิ่นเหม็นเขียวของชะอมสักหน่อยนะคะ

ตะไคร้

ตะไคร้ที่เราใส่ในต้มยำ นี่แหละค่ะ ใช้แก้ปัญหาผมแตกปลายได้ผลดีทีเดียว ให้ใช้ตะไคร้ 2-3 ต้น นำมาโขลกให้ละเอียด กรองเอาแต่น้ำ หลังจากสระผมสะอาดดีแล้วนำน้ำตะไคร้มาชะโลมและนวดให้ทั่วศีรษะทิ้งไว้สัก 10 นาที จึงล้างออก ทำกันเป็นประจำสัก 2 เดือน รับรองได้ว่า ปัญหาผมแตกปลาย จะไม่ใช่เรื่องกวนใจคุณอีกต่อไปค่ะ

กล้วย

นำกล้วยน้ำว้าสุกมาบด หยดน้ำมันอัลมอนด์ลงไปเล็กน้อย ผสมให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำมานวดลงบนเส้นผมให้ทั่วศีรษะ ทิ้งไว้ประมาณ ,15 นาที เพื่อให้ส่วนผสม ค่อยๆซึมเข้าไป แล้วจึงล้างออกให้สะอาด ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ผมแห้งกรอบ ขาดชีวิตชีวา ก็จะฟื้นคืนชีพได้

น้ำมันมะกอก

ใช้น้ำมันมะกอกผสมกับน้ำมันหอมโรสแมรี่ นำมานวดให้ทั่ว หมักผมค้างไว้ 1 คืนแล้วค่อยสระผมในตอนเช้า จะช่วยขจัดรังแคได้ค่ะวีทเจิร์มสูตรคอนดิชั้นเนอรฺชนิดเข้มข้น นำวีทเจอร์ม มาผสมกับน้ำมันมะกอก แล้วนวดให้ทั่วศีรษะ ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่น บิดให้แห้ง นำมาคลุมผมไว้ ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วจึงล้างออก


นำสูตรไปใช้กันดูนะคะ เลือกใช้พืชผักที่หาได้สะดวก นอกจากผมจะสวย ดูมีชิตชีวากันแล้ว ยังประหยัดสตางค์อีกด้วยค่ะ