แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เคล็ดลับความงาม แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ เคล็ดลับความงาม แสดงบทความทั้งหมด

วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2551

แฟชั่น ส้นสูง มาแรง สาวโร่ศัลยกรรม เฉือนเท้า

ดารา นักร้อง คนดัง ระดับซูเปอร์สตาร์ เวลาแต่งกายอะไร คนมักเลียนแบบกันเป็นแถว อย่าง วิกตอเรีย เบคแฮม กวินเน็ธ พัลโทรว์ และ 4 สาวแห่ง "เซ็กซ์ แอนด์ เดอะ ซิตี้" ไอดอลของชาวตะวันตก

ล่าสุด แฟชั่น "เปรี้ยวปริ๊ด" และน่าตื่นตะลึง ที่เหล่าเซเลบนี้ใส่ เห็นจะเป็นรองเท้าส้นสูง ขนาด 7 นิ้ว ซึ่งบางแบบสูงแถมไม่มีส้น อย่างที่เรียกว่า "อินวิซิเบิ้ล ฮีล"
แล้วจะยืน จะเดินยังไงเนี่ย?

เฟททิชชูส์ ของลูบูแต็ง

แฟชั่นรองเท้าส้นสูงปรี๊ด ทำให้หญิงสาวที่ไล่ตามแฟชั่นจำนวนมากน้ำลายหก แต่พอใส่แล้ว ความเมื่อย ความทรมาน ถาโถมเข้ามา การใส่ส้นสูงมานานนับปี ทำให้เกิดอาการ "สติลเล็ตโต้ทาร์ซัล (Stilettotarsal)" หรือความเจ็บปวดบริเวณเท้าส่วนที่เรียกว่า "เมตาทาร์ซัล"

แม้ความเจ็บ ปวด เมื่อย ขบ จะเป็นอุปสรรค แต่สาวๆ ผู้พิศมัยรองเท้าส้นสูง แทนที่จะไปใช้รองเท้าที่ส้นเตี้ยกว่าเดิม กลับหาวิธีที่จะไม่ให้เท้าปวดอีกต่อไป ด้วยการไปให้แพทย์ฉีด "โบท็อกซ์" ที่เท้า

แมรี่ เจนกิ้นส์ เจ้าหน้าที่คลินิกศัลยกรรมแห่งหนึ่งในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ กล่าวว่า "มีสาวๆ เข้ามาขอให้ฉีดโบท็อกซ์ที่เท้า เป็นจำนวนมากพอๆ กับผู้ที่มาขอให้เสริมทรวงอก นับว่า การฉีดโบท็อกซ์ที่เท้าเป็นเรื่องที่ปกติไปแล้ว"

ด้าน "ฮาร์เลย์เมดิคัลกรุ๊ป" คลินิกศัลยกรรมที่ใหญ่ที่สุดของอังกฤษ เปิดเผยว่า มีสตรีขอให้มาดูดไขมันออกเพิ่มขึ้นกว่าเดิม 9% แต่ 9% นี้ รวมถึงผู้ที่มาให้ขอดูดไขมันบริเวณตาตุ่มและช่วงล่างเท้าออกด้วย
"สติลเล็ตโต้ทาร์ซัล" เกิดจากการสวมรองเท้าส้นสูงมานานหลายปี การฉีดโบท็อกซ์เข้าไป ก็เพื่อปกป้องเส้นประสาทและเนื้อเยื่ออ่อน ทั้งยังทำให้ผู้หญิงเดินบนรองเท้าส้นสูงได้ง่ายขึ้น

คริสติอ็อง ลูบูแต็ง ดีไซเนอร์ชาวฝรั่งเศส ซึ่งประกาศว่า ปีหน้าจะวางตลาดรองเท้าส้นสูงขนาด 8 นิ้ว สูงกว่ารองเท้าส้นสูงของดีไซเนอร์คนอื่นๆ เกือบ 1 นิ้ว กล่าวว่า "ไม่มีใครบังคับให้พวกสาวๆ ใส่รองเท้าส้นสูง ทั้งๆ ที่เจ็บปวด แต่พวกนี้พอใจสวมเพราะมันสวยงาม"

ยิ่งไปกว่าการฉีดโบท็อกซ์ สาวจำนวนหนึ่งถึงกับยอมเฉือนเท้าตัวเองเพราะส้นสูง
าพบน รองเท้าไร้ส้น ภาพล่างกลาง คาดิชชา ผู้ยอมเฉือนเท้า
"คาดิชชา เชลตัน" สาวนักบัญชีชาวลอนดอน คลั่งใคล้รองเท้ามาตั้งแต่เด็ก เธอจะซื้อนิตยสารแฟชั่นล่าสุดและหาว่า รองเท้าแบบไหนกำลังเป็นที่นิยม
คาดิชชา กล่าวว่า "ฉันไม่ชอบนิ้วเท้าฉันเลย มันใหญ่และยื่นออกมา โดยเฉพาะนิ้วชี้ของเท้าทั้งสองข้าง ใหญ่เกือบเท่านิ้วโป้ง เวลาใส่รองเท้าแตะ ดูแล้วน่าเกลียดมาก ฉันเลยไปปรึกษากับหมอเพราะอยากให้นิ้วเท้าสั้นลง หมอบอกว่า การทำศัลยกรรมนิ้วเท้านั้นทำได้ ด้วยการเฉือนกระดูกนิ้วเท้าออกเล็กน้อย การผ่าตัดน่าจะใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ค่าใช้จ่ายราว 200,000 บาท แต่ต้องพักฟื้นอยู่ที่บ้านนานหลายเดือนกว่าจะเดินได้"

แม้จะต้องเข้ารับการผ่าตัด และเสียค่าใช้จ่ายเป็นเงินจำนวนมาก แต่สาวผู้นี้มองว่า "คุ้มค่า"

คาดิชชา ยอมรับว่า "การที่สวมรองเท้าส้นสูงมานานหลายปี ทำให้เท้าของฉันเป็นไตแข็งๆ นิ้วเท้าบางนิ้วไม่ตรงเหมือนเดิม"

เอมี่ เฮมมิงเวย์ เป็นอีกคนหนึ่งที่สวมรองเท้าส้นสูงมานาน เธอสวมรองเท้าส้นสูงวันละ 18 ชั่วโมง เป็นเวลา 5 วันต่ออาทิตย์ และเป็นเวลานาน 10 ปีมา

แล้วเอมี่ กล่าวว่า "ฉันรู้สึกทรมานมากเมื่อสวมส้นสูง ที่เท้ามีตาปลาหลายอันและใหญ่มากด้วย เมื่อตอนเป็นวัยรุ่นฉันคิดว่า การแต่งตัวตามแฟชั่นเป็นสิ่งสำคัญ จึงเสียเงินทองจำนวนมาก เพื่อซื้อรองเท้าส้นสูงแบบใหม่ล่าสุด ฉันมีรองเท้าส้นสูงนับร้อยคู่ ทั้งส้นแหลมไปจนส้นตึก"

วิกเตอเรียใส่บู๊ทไม่มีส้น สร้างเสียงฮือฮาให้กับวงการแฟชั่น
การสวมรองเท้าส้นสูงนานๆ ทำให้เสียสุขภาพ เอมี่ก็เช่นกัน "เหมือนกับผู้หญิงหลายๆ คนที่สวมส้นสูง ฉันมีตาปลาที่เท้าทั้ง 2 ข้าง เข่าและสะโพกฉันเริ่มปวด จนกระทั่งต้องไปหาหมอ เขาบอกว่า ตาปลาที่เท้าฉันดูแล้วน่าขนลุกที่สุดเท่าที่เคยเห็น และการที่ฉันเดินไม่เหมือนเดิม เป็นเพราะตาปลานี้ทำให้เพิ่มแรงกดบริเวณเข่า สะโพกและหลัง"

คอนสแตนซ์ บริสโค อาชีพผู้พิพากษา ก็เป็นอีกคนหนึ่ง ที่ยอมเจ็บปวดเพื่อให้ได้ใส่ส้นสูง พร้อมกับการเสียเงินกว่า 700,000 บาท เพื่อผ่าเท้าที่กว้างให้แคบลง จะได้ใส่รองเท้าที่เรียวยาวของยุโรป อย่าง ยี่ห้อมาโนโล บลาห์นิกได้

บริสโค กล่าวว่า "โทนี่เพื่อนผู้พิพากษาด้วยกัน บอกว่าฉันบ้าไปแล้ว ควรจะไปตรวจสมองเสีย เขายังไม่ยอมขับรถไปส่งที่สนามบินเพื่อให้ฉันไปผ่าตัดที่นิวยอร์ก ฉันเกลียดเท้าตัวเองมาตั้งแต่เด็กแล้ว มันกว้างเกินไป"

นายแพทย์ไมค์ คัมมินส์ ศัลยแพทย์ กล่าวว่า "มีผู้หญิงจำนวนหนึ่งที่เดือดเนื้อร้อนใจกับรูปร่างเท้าของตัวเอง เพราะบางคนเท้าใหญ่ บางคนนิ้วเท้ายื่น จนไม่สามารถสวมรองเท้าส้นสูงให้ออกมาสวยงามได้ จึงอยากมาทำศัลยกรรมเท้า แต่อย่าลืมว่า การผ่าตัดทุกครั้งมีความเสี่ยง โดยเฉพาะเท้าเป็นอวัยวะที่สำคัญมากที่สุดส่วนหนึ่งของร่างกาย เพราะทำหน้าที่รับน้ำหนัก การผ่าตัดเท้ายังต้องใช้เวลาพักฟื้นหลายเดือนด้วย"

นายแพทย์คัมมินส์ กล่าวต่อไปอีกว่า "ถ้ามีผู้หญิงมาขอให้ผมผ่าตัดเท้าให้ เพียงเพื่อความสวยงามเพียงอย่างเดียว ผมจะปฏิเสธ หรือไม่ก็ขอให้คิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพราะจะเป็นการผ่าตัดที่เจ็บปวดมาก"

ที่มา : เดลี่เมล์

วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

5 เมคอัพเทรนด์สุดฮอต ซีซั่นออทั่ม-วินเทอร์ 2008
สีสันของเมคอัพหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามเทรนด์แฟชั่นโลก ผสมผสานกับจินตนาการมิรู้จบ
และแรงบันดาลใจที่เก็บเกี่ยวจากสารพันสิ่งรอบตัว!! คราวนี้ เราจึงพาคุณผู้อ่านไปอัพเดท
5 เทรนด์แต่งหน้าสุดฮอตจาก 5 แบรนด์ดังระดับโลก เพื่อเตรียมต้อนรับซีซั่นใหม่
ออทั่ม-วินเทอร์ 2008 ล่วงหน้าก่อนใคร

“M.A.C.” สีสันอิสระไร้ขีดจำกัด
ก็เพราะใบหน้าอันงดงามของหญิงสาวเปรียบเสมือนผืนผ้าแคนวาส M.A.C. จึงเตรียมสีสันมาให้เลือกแต่งแต้มได้อิสระตามจินตนาการ ซีซั่นนี้มาพร้อม 5 ลุคเด่น ได้แก่ ARTSY ได้แรงบันดาลใจจากศิลปะหลากหลายแขนง ตั้งแต่โมเนท์ จนถึงยุคโมเดิร์นนิส, โกแกง และกราฟฟิตี้...แรงไม่แพ้กันทั้งสีสันและคอนเซปต์ ต้องยกให้ลุคสุดแกลม GLAMODRAMA นำเสนอจินตนาการไร้ขีดจำกัด ทำให้คุณได้สวยแบบเหนือจริง ด้วยแรงบันดาลใจจากดนตรีแนวร็อก, พังก์, ดิสโก้, บทกวี และการ์ตูนดังแห่งยุค... อิทธิพลจากยุค 70s ก็มีให้เห็นในคีย์ลุคสำคัญของ M.A.C. เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นลุค SEVENTEASE เชิดชูภาพสาวร็อกสุดเท่แห่งยุคเซเว่นตี้ส์ ในโทนสีขรึม และลุคอินโนเซนต์ HONED ชวนให้หวนคำนึงถึงความสดใสของวัยสาว ดูบางเบาเป็นธรรมชาติมากที่สุด เน้นการเล่นแสงเงาตามโครงหน้า ได้อินสไปเรชั่นจากสาวปารีเซียงคนดังแห่งยุค 70s...อีกหนึ่งลุคฮอตยังรวมถึง DEVINE มีไฮไลต์เด่นเป็นริมฝีปากสีแดงเบอร์รี่ ที่กำลังร้อนแรงไปทั่วทุกแคตวอล์ก

“SHISEIDO” งามสง่าดุจภาพฝัน

ซีซั่นล่าสุดของ “ชิเซโด้” แบรนด์ดังจากญี่ปุ่น มาพร้อมกับเทรนด์ใหม่ “เดอะ เมคอัพ ออทั่มวินเทอร์ 2008” ฝีมือการสร้างสรรค์ของศิลปินดัง “ดิ๊ค เพจ” นำแรงบันดาลใจจากเทคนิคการวาดภาพแบบเคียรอสคูโร เป็นการจัดแสงเงาให้วัตถุ และมีช่องว่างเพื่อสร้างมิติให้งานศิลป์ มาถ่ายทอดเป็นเมกอัพเทรนด์ล่าสุด โดยเล่นกับความสัมพันธ์ระหว่างแสงกับเฉดเงา อาศัยความลึกกับความสว่าง และไฮไลต์กับเฉด สร้างเสน่ห์ใหม่ให้สาวชิเซโด้ดูสง่างามและหรูหราขึ้นกว่าที่เคย
"DIOR" สาวเจ้าสำอางยุคใหม่


ผลงานสร้างชื่อของ “คริสเตียน ดิออร์” ผู้ก่อตั้งห้องเสื้อสุดหรูแห่งปารีเซียง คือการนำดีเทลสำคัญของเสื้อผ้าบุรุษ มาตัดเย็บเป็นอาภรณ์ สตรีได้อย่างงดงามน่าทึ่ง จนถือเป็นการปฏิวัติวงการแฟชั่นครั้งใหญ่ อิทธิพลของบรมครูแห่งดิออร์ ยังตกทอดมาถึงปัจจุบัน โดยซีซั่นล่าสุด ผู้หญิงของดิออร์ ได้แปลงร่างเป็น “สาวเจ้าสำอาง” หรือ “แดนดี้ เลดี้” เต็มตัว ตามแนวคิดสำอางนิยม “Dandyism” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของห้องเสื้อดิออร์ตลอดมา พวกเธอดูเจิดจรัสด้วยผิวพรรณอ่อนใส มีประกายผุดผ่อง ดวงตาถูกแต่งแต้มในแนวสโมคกี้สีน้ำตาลประกายเมทัลลิก รับกับริมฝีปากสุดเย้ายวนด้วยประกายสวยราวกับแพรซาติน เป็นตัวแทนของสาวผู้มุ่งมั่น และเป็นตัวของตัวเองสุดๆ ใจแกร่งเหมือนชาย แต่ซ่อนความเซ็กซี่ไว้ภายใน

“BOBBI BROWN” เสน่ห์จากปกหนังสือเก่า


ใครจะนึกล่ะคะว่า ปกหนังสือเก่าๆในห้องสมุด ก็กลายเป็นอินสไปเรชั่นในการสร้างสรรค์ เมกอัพเทรนด์ ซีซั่นล่าสุดได้!! แต่ขึ้นชื่อว่า “บ็อบบี้ บราวน์” ซะอย่าง ไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงแน่นอน เพราะหยิบจับอะไรขึ้นมา ก็เนรมิตให้กลายเป็นของฮอตติดตลาดได้สบาย คอลเลกชั่นใหม่ได้แรงบันดาลใจจากปกหนังสือโบราณ ที่สวยงามคลาสสิก ถ่ายทอดออกมาเป็นโมดสีใหม่ ภายใต้รหัส “MAUVE” ให้สาวๆได้แต่งแต้มกันอย่างมีความสุข เป็นสีโทนเย็นให้ความรู้สึกนุ่มนวลละมุนตา ผสมผสานระหว่างประกายแห่งสีม่วง, เทา และน้ำตาล เฉดสีสวยที่ใครๆก็อยากครอบครอง


“SHU UEMURA” ปลุกเร้าสัญชาตญาณในตัวคุณ



อาร์ต ไดเรกเตอร์คนใหม่ประจำแบรนด์ “คะคุยะสุ อูชิอิเดะ” ตั้งชื่อคอลเลกชั่นล่าสุดว่า “instinct” เพื่อปลุกเร้าสัญชาตญาณความเย้ายวน ที่ซ่อนเร้นในตัวผู้หญิงให้ออกมาโลดแล่น โดยซีซั่นนี้ ให้ความสำคัญกับผิวเป็นหลัก มีแป้งฝุ่นสีกุหลาบเป็นเครื่องมือสำคัญ ช่วยเตรียมผิวหน้าให้สวยเนียนไร้ที่ติ ตามคอนเซปต์ ของชู อูเอมูระ ที่เชื่อว่า เคล็ดลับการแต่งหน้าให้สวยและเซ็กซี่ มีกุญแจสำคัญอยู่ที่ผิว เพราะผิวที่สวยโดนใจย่อมเปล่งประกายจากภายในสู่ภายนอก จากนั้นค่อยเพิ่มสีสันชวนค้นหา ด้วยโทนสีสดเข้มและเนื้อสัมผัสหรูหรา เผยให้เห็นความเย้ายวนผ่านการสอดประสานของชั้นสี

ซีซั่นนี้ อินเทรนด์ ไม่ตกยุคแน่นอน!!

วันจันทร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2551

ถนอมตาสวย ด้วย วิถีธรรมชาติ

เมื่อพูดถึงการดูแลผิว ไม่ว่าผิวส่วนไหน ก็แน่นอนอยู่แล้วค่ะว่าจะต้องเกี่ยวพันกับสุขภาพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้แต่ผิวรอบดวงตา ที่เมื่อใดที่เราเริ่มมีปัญหาสุขภาพ โดยเฉพาะเมื่อร่างกายเกิดอาการ ธาตุไฟไม่สมดุล ผิวบริเวณนี้จะได้รับผลกระทบก่อนใครเพื่อนเลยทีเดียว



ปัจจุบันนี้ แม้ว่าจะมีผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลรอบดวงตาโดยเฉพาะ แต่ถึงอย่างไร เราก็ยังต้องพึ่งการดูแลด้วยธรรมชาติควบคู่ไปพร้อมๆกัน ซึ่งในเรื่องนี้ นายแพทย์แอนดรูว์ ไวล์ จากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ได้ร่วมกับผลิตภัณฑ์ออริจินส์ มาให้คำแนะนำถึงในการดูแลสุขภาพผิวรอบดวงตา โดยเน้นเรื่องการดูแลสุขภาพโดยผสมผสานเอาวิธีธรรมชาติเข้าไปด้วย ผมคิดว่า แนวความคิดในเรื่องการดูแลสุขภาพด้วยการผสมสานวิธีธรรมชาติเข้าไปด้วยนั้น มีข้อเด่นคือ คุณเป็นผู้กุมบังเหียนสุขภาพของตัวเองไว้ในมือ คุณจะรู้อย่างแน่ชัดว่า สิ่งที่คุณกินหรือทำนั้น ก่อผลต่อสุขภาพอย่างไร



วิธีการดูแลสุขภาพผิวรอบดวงตาที่คุณหมอแนะนำ ก็มีอยู่หลายข้อทีเดียวค่ะ ซึ่งเราสามารถนำไปปฏิบัติกับตัวเองได้อย่างง่ายๆ

- ควรตรวจสุขภาพตาเป็นประจำทุกๆ 2 - 4 ปี แต่สำหรับผู้ที่อายุ 65 ปีขึ้นไปแล้ว ควรจะตรวจให้บ่อยขึ้นคือทุกๆ 1 - 2 ปี

- สำหรับผู้ที่ต้องนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นประจำ ควรเริ่มฝึกนิสัยในการพักสายตา โดยการมองออกไปไกลๆ ทุกๆ 10 - 15 นาที

- ควรสวมแว่นตาดำที่สามารถปกป้องและกรองแสงยูวีได้ ทุกครั้งที่ต้องออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งที่มีแดดจัดจ้า

- ปกป้องและระวังไม่ให้ดวงตาสัมผัสกับควันและฝุ่นละอองต่างๆโดยตรง

อาหารเสริมเพื่อดวงตาสดใส

- รับประทานผัก ผลไม้ ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ (Anti Oxidant) ในปริมาณสูง เช่น ผลบลูเบอร์รี่ ผักใบเขียว และแครอท ซึ่งจะช่วยลดอันตรายจากอนุมูลอิสระในแสงแดดที่ทำลายจอตา และช่วยลดปัญหาตาบอดจากจอประสาทตาเสื่อมได้ อีกทั้งช่วยให้สายตาทำงานดีขึ้นในที่มืด และมีความไวในที่แสงน้อยๆดีกว่า

- รับประทานผักที่มีสารลูทีน (Lutien) และซีแซนทีน (Zeaxanthin) ซึ่งเป็นสารแคโรทีนอยด์ชนิดหนึ่ง มีสีเหลือง พบมากในพืชผักที่มีสีเหลืองและสีเขียวเข้ม เช่น ผลอะโวคาโด บร็อคโคลี่ ข้าวโพด ฟักทอง ผักโขม และผักกวางตุ้ง เหล่านี้ล้วนเป็นสารธรรมชาติที่พบมากในตาบริเวณจุดรับภาพและจอประสาทตา ทำหน้าที่ช่วยกรอง หรือป้องกันรังสีจากแสงแดด ช่วยปกป้องเซลล์ของจอประสาทตา ไม่ให้ถูกทำลาย โดยการต้านอนุมูลอิสระพร้อมทั้งกรองแสงสีน้ำเงินที่จะทำลายดวงตา


วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2551

เคล็ดลับความงามในที่ทำงาน


ถึงแม้ในแต่ละวันจะยุ่งวุ่นวายมากแค่ไหน สาวทำงานทั้งหลายต้องไม่ลืมใส่ใจในเรื่องความสวยความงามและการดูแลสุขภาพให้แข็งแรงด้วย

เพราะในโลกของธุรกิจและการทำงาน ความประทับใจตั้งแต่แรกพบ (First Impression) เป็นสิ่งสำคัญที่สุด การมีรูปร่างหน้าตาที่ชวนมอง ช่วยส่งเสริมให้เกิดความมั่นใจและทำให้บุคลิกของคุณดูโดดเด่นกว่าคนอื่นๆ ซึ่งจะช่วยนำไปสู่ความสำเร็จทั้งในด้านการงานและชีวิตส่วนตัว วันนี้เรามีเคล็ดลับความงามสำหรับสาวทำงานคนเก่งมาฝาก


*ผิวพรรณสำคัญอันดับหนึ่ง

ผิวพรรณโดยเฉพาะผิวหน้านั้นมีความสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง เพราะผิวหน้าสามารถบ่งบอกได้ว่าเจ้าของผิวนั้นมีสุขภาพดีหรือไม่ ตลอดจนมีความรักและเอาใจใส่ตัวเองดีเพียงใด ควรเริ่มจากการประเมินว่าผิวของตัวเองนั้นเป็นผิวประเภทใด และมีปัญหาผิวอะไรบ้าง ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสมกับผิวตนเอง รวมทั้งทำความสะอาดผิวหน้าวันละ 2 ครั้งอย่างสม่ำเสมอ

หากใช้เครื่องสำอางเป็นประจำ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ประเภท make up remover เพื่อเช็ดทำความสะอาดก่อน นอกจากนี้ การบำรุงและป้องกันผิวจากแสงแดดก็เป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากสาวทำงานทุกวันนี้ต้องอยู่นอกบ้านและเผชิญกับแสงแดดบ่อยมากยิ่งขึ้น จนก่อให้เกิดปัญหาผิวไวต่อแดด แม้จะเผชิญแดดเพียงไม่นาน ผิวก็คล้ำเสียได้ง่าย ควรลองมองหาผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาขึ้นสำหรับผิวไวต่อแดดโดยเฉพาะ


*แต่งหน้าเพื่อความงามที่เปล่งประกาย

การแต่งหน้าอย่างเหมาะสมนับเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ให้เลือกเครื่องสำอางที่ช่วยดึงความงามตามธรรมชาติของคุณออกมา แต่ไม่ถึงกับเปลี่ยนคุณไปเป็นคนละคน เช่น เลือกสีของรองพื้นที่กลมกลืนไปกับสีผิว หากคุณมีผิวขาว ควรเลือกบลัชออนสีชมพูเบจ หรือสีน้ำตาลอมส้ม ในขณะที่ผิวสีแทนควรเลือกสีพีช หรือสีส้ม ที่จะช่วยขับใบหน้าให้ดูโดดเด่น ดูสุขภาพดี สำหรับสีสันเครื่องสำอางอื่นๆ ควรเลือกสีให้ไปในโทนเดียวกัน แต่โดยรวมควรจะดูนุ่มนวล ไม่จัดจ้าน


*แต่งกายดีมีชัยไปมากกว่าครึ่ง

การแต่งตัวดีนับเป็นกุญแจสำคัญอีกดอกหนึ่งที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ หากสำนักงานของคุณมีกฎเรื่องการแต่งกาย จงเคารพกฎนั้นเสมอ ควรเลี่ยงการแต่งกายที่ดูโป๊จนเกินงาม เช่น เสื้อซีทรู หรือกระโปรงสั้นรัดรูป ควรเลือกชุดทำงานที่เหมาะกับรูปร่าง เช่น สาวไทยร่างเล็ก ควรเลือกสูทแจ็กเกตที่ยาวระดับสะโพก ไม่ควรเลือกที่สั้นเหนือเอว เพราะจะยิ่งทำให้ร่างกายส่วนบนดูสั้นเข้าไปอีก สาวรูปร่างสูง ควรใช้เข็มขัดเส้นกว้าง หลีกเลี่ยงเสื้อผ้ารัดรูปและกระโปรงที่สั้นหรือยาวมากเกินไป สำหรับสาวสะโพกใหญ่ ควรใส่เสื้อสีอ่อนเพื่อดึงสายตาขึ้นมาด้านบน หลีกเลี่ยงกระโปรงทรงสุ่มบาน แต่ควรเลือกใส่กระโปรงทำงานทรงตรง หรือเอไลน์แทน

ลองทำดูนะค่ะ จะได้เกิดความประทับใจกับผู้พบเห็น.....


วันจันทร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2551

เลือกกินอย่างไรไม่ให้อ้วน



สาวๆ ที่มีรูปร่างเพรียวสมส่วนทั้งหลายคงต้องใช้ความพยายามอย่างมาก ที่จะควบคุมรูปร่างให้ฟิตอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ใช่ประเดี๋ยวเพรียว ประเดี๋ยวฉุให้คนงงเล่นเหมือนใครบางคนเรามีวิธีควบคุมรูปร่างของคุณให้ดูระหง, สุขภาพดี แบบไม่เคร่งเครียดมากนักมาฝากค่ะ


1. รับประทานผักและผลไม้ให้มากเป็นประจำ นอกจากจะช่วยควบคุมน้ำหนักแล้ว ผักผลไม้ยังอุดมไปด้วยวิตามินที่มีประโยชน์ต่อความสวยของคุณ และช่วยลดระดับไขมันโคเรสเตอรอลอย่างได้ผล


2. รับประทานธัญพืชและถั่วต่างๆให้มาก เช่น ข้าวกล้อง, งา, ถั่วต่างๆ , ลูกเดือย ซึ่งจะมีเส้นใยอาหารให้คุณอื่มเร็วขึ้นแถมยังช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือด และรักษาระดับโคเลสเตอรอลอีกด้วย


3. รับประทานปลา หรือเนื้อสัตว์ไม่ติดมันเป็นประจำโดยเฉพาะเนื้อปลาซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นโปรตีนชั้นดี, และมีกรดไขมัน โอเมก้า 3 ที่ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ เช่น ปลาทูน่ากระป๋อง ,หรือปลาแซลมอน ปริมาณไขมันที่คุณ ควรรับประทานต่อวัน ไม่ควรเกิน 5-8 ช้อนชานะคะ และหากจะรับประทานสลัดก็ไม่ควรใส่น้ำสลัดมากกว่า 5 ช้อนชา


4. หลีกเลี่ยงอาหารหวานต่างๆ เช่น น้ำอัดลม, น้ำหวาน, ขนมหวาน หรือแม้แต่ผลไม้ที่มีรสหวานมากๆ ด้วยค่ะเพราะของหวานให้แต่พลังงาน ซึ่งหากรับประทานมากก็จะเกินความต้องการไปพอกพูนตามร่างกายของคุณให้อวบอ้วนเปล่าๆ


5. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารเค็มจัด โดยคุณควรรับประทานเกลือให้น้อยกว่า 6 กรัมต่อวัน หรือประมาณ 1 ช้อนชาต่อวัน


6. งดหรือลดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ โดยไม่ควรดื่มมากกว่า 1 แก้วต่อวันค่ะ เพราะนอกจากจะก่อโทษต่างๆ แล้วยังมีแคลอรี่สูงอีกด้วยค่ะ


หากคุณรับประทานอาหารตามแนวทางนี้ จะทำให้คุณรักษารูปร่างให้สมส่วนได้อย่างยาวนาน ไร้ไขมันพอกพูนและสุขภาพดี ไม่ผอม เหี่ยว ซีดเซียว ไร้เรี่ยวแรง จนดูโทรมมากกว่าสวย........

+++++++++++++++++++++++

วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2551

ครีมถนอมผมจากพืชผัก


นอกจากจะช่วยให้ใบหน้าของคุณดูดีขึ้นแล้ว เส้นผมนิ่มสลวย ยังบ่งบอกถึงสุขภาพที่ดีอีกด้วย แต่ถ้าคุณกำลังกลุ้มใจกับปัญหาผมเสีย เรามีวิธีแก้ด้วยพืชผักมาบอกกันค่ะ


น้ำมันมะกรูด
น้ำมะกรูด 1-2 ช้อนชา ชะโลมนวดให้ทั่วศีรษะทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด แค่นี้ผมของคุณก็จะดูสวยมีชีวิตชีวากับเขาบ้างแล้วล่ะค่ะ



ชะอม

ถ้าผมของคุณขาดชีวิตชีวา เจอลมแรงยังแทบไม่กระดิก แล้วล่ะก็ แนะนำว่าให้ใช้สูตรชะอม โดยใช้ใบชะอมประมาณ 1 กำมือนำมาต้มกับน้ำสะอาด 3 ถ้วยจนเดือด กรองเอาแต่น้ำเขียวๆ นำไปวางไว้ให้เย็น หลังจากสระผมสะอาดแล้ว นำผ้าขนหนูชุบน้ำชะอมพอหมาดๆ เช็ดถูให้ทั่วศีรษะ จะช่วยคืนสภาพเส้นผมให้ดีขึ้นได้ และยังช่วยไม่ให้ผมแตกปลายอีกด้วย แต่ก็คงต้องทนกลิ่นเหม็นเขียวของชะอมสักหน่อยนะคะ

ตะไคร้

ตะไคร้ที่เราใส่ในต้มยำ นี่แหละค่ะ ใช้แก้ปัญหาผมแตกปลายได้ผลดีทีเดียว ให้ใช้ตะไคร้ 2-3 ต้น นำมาโขลกให้ละเอียด กรองเอาแต่น้ำ หลังจากสระผมสะอาดดีแล้วนำน้ำตะไคร้มาชะโลมและนวดให้ทั่วศีรษะทิ้งไว้สัก 10 นาที จึงล้างออก ทำกันเป็นประจำสัก 2 เดือน รับรองได้ว่า ปัญหาผมแตกปลาย จะไม่ใช่เรื่องกวนใจคุณอีกต่อไปค่ะ

กล้วย

นำกล้วยน้ำว้าสุกมาบด หยดน้ำมันอัลมอนด์ลงไปเล็กน้อย ผสมให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำมานวดลงบนเส้นผมให้ทั่วศีรษะ ทิ้งไว้ประมาณ ,15 นาที เพื่อให้ส่วนผสม ค่อยๆซึมเข้าไป แล้วจึงล้างออกให้สะอาด ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ผมแห้งกรอบ ขาดชีวิตชีวา ก็จะฟื้นคืนชีพได้

น้ำมันมะกอก

ใช้น้ำมันมะกอกผสมกับน้ำมันหอมโรสแมรี่ นำมานวดให้ทั่ว หมักผมค้างไว้ 1 คืนแล้วค่อยสระผมในตอนเช้า จะช่วยขจัดรังแคได้ค่ะวีทเจิร์มสูตรคอนดิชั้นเนอรฺชนิดเข้มข้น นำวีทเจอร์ม มาผสมกับน้ำมันมะกอก แล้วนวดให้ทั่วศีรษะ ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่น บิดให้แห้ง นำมาคลุมผมไว้ ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วจึงล้างออก


นำสูตรไปใช้กันดูนะคะ เลือกใช้พืชผักที่หาได้สะดวก นอกจากผมจะสวย ดูมีชิตชีวากันแล้ว ยังประหยัดสตางค์อีกด้วยค่ะ

วันจันทร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2551

สาวเผย แผ่นหลัง โชว์ผิวเนียนเพิ่มเซ็กซี่


อกเหนือจากรูปร่างหน้าตา ทรวดทรงองค์เอวที่สาวๆ พิถีพิถันในการดูแลแล้ว แผ่นหลัง ก็เป็นอีกส่วนที่สาวๆ สมัยนี้ให้ความใส่ใจไม่น้อย เพราะแผ่นหลังก็เป็นอีกส่วนที่เสริมความเซ็กซี่ให้กับสาวๆ ถ้าแผ่นหลังที่โชว์ มีแต่ผด ผื่น สิว คราบไคล รอยด่างดำเต็มไปหมด คงไม่มีใครอยากมอง ดีไม่ดียังถูกตราหน้าอีกว่า...จะโชว์ทำไม!!

แต่ถ้าแผ่นหลังนวลเนียนน่าลูบไล้แล้วล่ะก็ เชื่อว่าทุกคนต้องเหลียวมอง

สาวๆ เขามีเคล็ดลับดูแลแผ่นหลังให้นวลเนียนเซ็กซี่ยังไง ลองไปฟังโดยสาวช่างจ้อ เก๋-ชลลดา เมฆราตรี ที่นอกจากจะหุ่นดีใส่ชุดรัดรูปแล้ว เธอยังมั่นใจโชว์แผ่นหลังให้คนเหลียวมองอีกด้วย บอกว่า

"เวลาไปงานเก๋จะโชว์ส่วนหลัง เพราะข้างหน้าเก๋ไม่ค่อยมีค่ะ (หัวเราะ) ซึ่งเก๋จะดูแลผิวพรรณเหมือนผู้หญิงทั่วไป เมืองไทยเป็นเมืองร้อน ผดผื่นก็มีบ้าง เก๋จะใส่เสื้อผ้าระบายอากาศและก็เข้าสปาขัดผิว บางครั้งก็ใช้วิธีพื้นๆ ทาคาราไมน์หรือแป้งน้ำแบบเด็กๆ ที่เก๋ผิวดีอาจเป็นเพราะได้เชื้อสายคนจีน ต้องยกความดีให้แม่ แม่ผิวดีมากๆ ค่ะ

"สาวหน้าฝรั่ง สา-มาริสา อานิต้า ยิ้มรับเมื่อถูกชมผิวสวย แล้วก็กล่าวว่า "รู้สึกดีนะที่คนมองว่าผิวสวย ถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง วิธีดูแลแผ่นหลังของสาก็ไม่มีอะไรมาก แค่อาบน้ำให้สะอาด ไปสปาขัดตัวในบางครั้ง ถามว่ามั่นใจแผ่นหลังหรือเปล่า มันเป็นช่วงๆ ช่วงไหนถ่ายละครอากาศร้อนก็จะเป็นผดผื่น แต่ช่วงไหนไม่ได้ถ่ายละครผิวจะเนียนสวยค่ะ"

ตั้งแต่พึ่งมีดหมอเสริมเต้า ดูว่าคุณแม่ บุ๋ม-ปนัดดา วงศ์ผู้ดี จะขยันแต่งตัวเปิดหน้าโชว์หลัง

"ความจริงบุ๋มไม่ค่อยดูแลอะไรเป็นพิเศษ แต่เวลาออกงานจะทาครีมบ้าง บางครั้งถ้ามีเวลาก็เข้าสปาขัดผิว และในแต่ละวันจะพยายามหลบเลี่ยงสเปรย์ฉีดผม บุ๋มแพ้สเปรย์ฉีดผมทำให้ผื่นและสิวขึ้นหลัง เราต้องดูแลตรงนี้ด้วยค่ะ" บุ๋มแนะเคล็ดลับ

ส่วนสาวรายนี้ จ๋า-ณัฐฐาวีรนุช ทองมี บอกเวลาออกงานจะโชว์แผ่นหลังบ่อย พอๆ กับที่โชว์หน้า

"ตอนเด็กๆ จ๋าเคยเป็นผดขึ้นที่หลัง แต่พอโตขึ้นมารู้ว่าควรจะทำยังไงไม่ให้มีผด พอไม่มีผดปั๊บก็สบายไปแล้วกึ่งหนึ่ง แล้วจ๋าก็จะขัดตัวเดือนละครั้ง ซึ่งมันจะช่วยให้ผิวหนังชั้นกำพร้าออกไป พอมันออก ไม่เกิดผดขึ้นมาอีก จ๋าดูแลธรรมดาไม่ถึงขั้นเป็นพิเศษ ก็ภูมิใจนะที่คนชมว่าหลังสวย"

"ดีใจค่ะที่คนชมว่าหลังสวย" สาว บี-น้ำทิพย์ จงรัชตวิบูลย์ กล่าวเมื่อถูกชม จากนั้นก็เผยว่า "บีเป็นคนไม่ชอบให้ตัวเองมีสิวที่หลัง ก็จะดูแลเป็นพิเศษโดยการทามอยส์เจอไรเซอร์ เพราะบางทีอาบน้ำบ่อยๆ ทำให้ผิวแห้งก็ต้องบำรุง หรืออาจมีการขัดหลังบ้าง ซึ่งบีทำเองหมดเพราะเป็นคนเขิน ไม่ชอบแก้ผ้าให้คนอื่นดู เวลาออกงานหรือเดินแบบชุดที่ใส่ส่วนใหญ่จะโชว์แผ่นหลัง ก็ต้องดูแลผิวพรรณให้ดี เรื่องพวกนี้เป็นสิ่งสำคัญค่ะ"
นี่ก็เป็นสาวหลังสวยอีกคน แตงโม-ภัทรธิดา พัชรวีระพงษ์ "ก่อนอื่นต้องขอบคุณและดีใจมากที่ชมว่าหลังโมสวย เพราะปกติโมไม่ค่อยดูแลผิวพรรณตัวเองเท่าไร ความโชคดีของโมคือเป็นคนไม่มีสิว ไม่ว่าจะส่วนไหนของร่างกาย และเป็นคนผิวไม่มันด้วย สิวเลยขึ้นยาก อีกอย่างหลังเป็นพื้นที่ที่ดูแลยาก โมเลยไม่ค่อยสนใจ ขัดตัวอะไรเนี่ยก็ไม่ชอบ วันๆ หนึ่งอาบน้ำหนเดียวเอง(หัวเราะ) ยกความดีให้กรรมพันธุ์ของตัวเองดีกว่าค่ะ"

ประชันถ่ายรูปคู่กันทั้งด้านหน้าและด้านหลัง สำหรับหนู เอมมี่-มรกต กิตติสาระ กับสาวหมวยเซ็กซี่ เมย์-พิชญ์นาฏ สาขากร โดย "เอมมี่" พูดขึ้นก่อนว่า

"เปิดหลังกับเปิดหน้าถามว่าอย่างไหนเซ็กซี่กว่ากัน มี่ว่าแล้วแต่คนมอง สำหรับมี่ชอบเปิดหลังมากกว่าเพราะไม่ต้องระวังอะไรมาก มี่เป็นคนไม่ค่อยได้ดูแลหลังเท่าไร ยิ่งตอนนี้แพ้ชุดที่ใส่เล่นละคร ทำให้เป็นผดแดงๆ เลยไม่ค่อยได้โชว์หลังเท่าไรแล้วค่ะ"

ส่วนสาว "เมย์" บอก " ถ้าเราต้องใส่ชุดเปลือยๆ เราต้องมั่นใจ เมย์จะทาครีม ลงชิมเมอร์วาวๆ ทำให้ผิวสวยเด้งขึ้นเวลาโดนแสงไฟ อย่างเมย์ อยู่ในกลุ่มผิวแพ้ง่ายเวลาที่แพ้เหงื่อตัวเองจะมีสิวขึ้นบ้าง เลยต้องใช้สบู่หรือครีมที่ไม่มีน้ำหอม ซึ่งจะทำให้ผิวไม่ด่างดำค่ะ"
ไปงานไหนเป็นต้องโชว์หลัง จนคนสบประมาทว่าดีแต่โชว์แผ่นหลัง สำหรับสาว ตอง-ภัครมัย โปตระนันทน์ "จริงๆ ข้างหน้าก็เนียนนะ แค่คัพเล็กเท่านั้นเอง(หัวเราะ)"

สำหรับวิธีดูแลผิวหลัง ตองว่า " ไม่มีอะไรมาก นอกจากกินอิ่ม นอนหลับ อาบน้ำให้สะอาดค่ะ เวลาอาบน้ำเราควรอาบน้ำถูสบู่ทั้งด้านหน้าและหลัง หลังอาบน้ำเช็ดตัวให้แห้ง และอย่าลืมเช็ดหลังด้วย ถ้าเช็ดไม่ถึงก็ควรหาคู่ไปถูให้ค่ะ" ตบมุขอย่างนี้ แล้วตัวเองล่ะ มีใครถูหลังให้รึยัง

ฟากสาว ฟาง-พิชญา ศรีเทพย์ กล่าวว่า "หนูจะไม่ทาครีมที่หลังเพราะกลัวอุดตัน แต่จะมีบ้างที่นานๆ ทีไปขัดผิว เพราะถ้าไม่ขัดเลยอาจมีเหงื่อไคลทำให้หลังเกิดสิว ส่วนตัวเคยมีปัญหาเรื่องสิวที่แผ่นหลัง ก็จะใช้วิธีรวบผม ไม่ให้ผมมาโดนแผ่นหลังเท่าไหร่ ที่สำคัญต้องสระผมบ่อยๆ ค่ะ"

สุดท้ายสาวเซ็กซี่ อั้ม-พัชราภา ไชยเชื้อ ที่เผยว่า "โชคดีเป็นคนไม่มีสิวที่แผ่นหลัง เทคนิคดูแลคือไม่อาบน้ำบ่อย หมายถึงไม่อาบน้ำถูสบู่หลายรอบ อย่างอาบน้ำเช้าก็ถูสบู่รอบเดียว ผิวจะได้ไม่แห้งค่ะ"

เหล่านี้คือเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ ในการดูแล "แผ่นหลัง" ให้เนียนสวยของเหล่าดารา แล้วคุณล่ะ มีเคล็ดลับดีๆ รึยัง ถ้ายัง...ลองนำเคล็ดลับของดาราไปใช้ดูนะค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2551

มือสวย...

วิธีถนอมมือ...คู่สวย

1. หลีกเลี่ยงการล้างมือบ่อยๆ

หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ให้ล้างมือด้วยน้ำเปล่า หรือใช่สบู่ที่ไม่มีฤทธิ์ด่างรุนแรงอย่างเช่น สบู่เด็ก เป็นต้น

2. เช็ดมือด้วยผ้าขนหนูนุ่มๆ ทุกครั้ง หลังล้างมือ

อย่าปล่อยให้มือสัมผัสอากาศจนแห้งไปเอง เพราะจะทำใให้สูญเสียน้ำหล่อเลี้ยงผิวเป็นเหตุให้มือหยาบกรานได้

3. ทาครีมหรือเบบี้ออยล์ก่อนนอน

เพื่อให้เนื้อครีมซึมซับสู่ผิวพรรณ สร้างความชุ่มชื้นให้แก่ผิวในขณะหลับ และตอนเช้าก็ให้ทาอีกครั้งเพื่อป้องกันมือของคุณจากแสงแดด
4. ทามือด้วยโยเกิร์ต

ทาโยเกิร์ตทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง จะช่วยให้มือนุ่มน่าสัมผัสขึ้น

5. ดื่มน้ำ
ควรดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว เพื่อเป็นการทดแทนน้ำหล่อเลี้ยงผิวที่เสียไป

6. บำรุงมือด้วยไข่แดงและสับปะรด

ใช่ไข่แดง 2 ฟอง ผสมกับน้ำสับปะรดคั้น 3 ช้อนโต๊ะ ตีให้เข้ากันแช่มือของคุณไว้ประมาณ 30-40 นาที แล้วล้างออก หมั่นทำ เดือนละ 2 ครั้ง

เพียงเท่านี้ มือคุณก็จะดูสวย เนียนนุ่ม น่าสัมผัส!!

วันอาทิตย์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ริมฝีปากสวย...ยั่วใจ

ริมฝีปาก... อวัยวะที่เย้ายวนที่สุดบนใบหน้า เพราะเป็นส่วนที่บ่งบอกได้ดีถึงอารมณ์ ความรู้สึก และนิสัยของผู้เป็นเจ้าของ หากเปรียบดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ ริมฝีปากก็คือหน้าต่างของอารมณ์นั่นเอง

ยามอารมณ์แจ่มใส รอบกายมีแต่สิ่งสวยงาม เรียวปากย่อมแย้มยิ้ม แสดงความรู้สึกสุขใจ แต่เมื่อใดเกิดความไม่พอใจหรือไม่สบอารมณ์ เรียวปากน้อย ๆ ก็อาจเหยียดตรง หลุบลง หรือเม้มไว้ บ่งบอกความรู้สึกขัดใจ แม้แต่ศาสตร์โหงวเฮ้งของจีนเองก็ยังยกให้ปากเป็นอวัยวะสำคัญที่บ่งบอกลักษณะนิสัยใจคอ บุคลิก และวิถีชีวิตของผู้เป็นเจ้าของ เรียวปากจึงมีความสำคัญมิใช่น้อย และเป็นอวัยวะสำคัญที่เจ้าของไม่ควรละเลย และด้วยเหตุผลที่ริมฝีปากสามารถสะท้อนความนัยไปถึงอวัยวะอันลึกเร้นของเพศหญิง จุดประสงค์ใหญ่ของการทาปาก จึงเป็นไปเพื่อดึงดูดใจเพศตรงข้ามให้หลงใหลในความชุ่มฉ่ำเย้ายวน...

เรียวปากสวยดังใจ หญิงสาวทุกคนต่างใฝ่ฝันอยากมีริมฝีปากสวยงามได้รูป หากใครเกิดมาพร้อมริมฝีปากที่ลงตัวสมสัดส่วนก็ถือว่าเป็นเรื่องดี แต่หากสาวใดไม่โชคดีขนาดนั้นก็ไม่ต้องกังวลว่าเป็นเรื่องใหญ่โต เพราะการแต่งแต้มและเพิ่มสีสันให้เรียวปากจะช่วยแก้ไขข้อบกพร่องต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี เพียงแค่มีเรียวปากที่สดใส ทุกส่วนของใบหน้าก็จะดูแจ่มใสเจิดจ้าขึ้นได้อย่างน่าแปลกใจ ลิปสติกจึงเป็นเครื่องสำอางที่สำคัญที่สุดมาตลอดทุกยุค ขนาดสาว ๆ เมื่อ 5,000 ปีก่อน เขาก็ยังใช้สีสันจากธรรมชาติมาทาปากกันแล้ว

ขั้นตอนที่ 1 บำรุงเรียวปากปากที่ทาลิปสติกได้สวยจะต้องเนียนเรียบไม่แห้งแตกเป็นขุย ดังนั้นก่อนทาลิปสติกจึงควรรองพื้นปากด้วยครีมบำรุงริมฝีปากหรือลิปบาล์มเพื่อช่วยให้ริมฝีปากชุ่มชื้น ควรทาลิปบาล์มทันทีหลังจากการทาครีมบำรุงผิวหน้า เพื่อให้ลิปบาล์มมีเวลาซึมซาบเข้าไปบำรุงผิวปากได้ในขณะที่แต่งใบหน้าส่วนอื่น และเมื่อแต่งหน้าส่วนอื่นเสร็จแล้วจึงใช้กระดาศทิชชูซับลิปบาล์มที่เหลือออกอย่างเบามือ ริมฝีปากจะชุ่มชื้นและเรียบเนียนขึ้นในทันทีโดยไม่ทิ้งความมันไว้และสีลิปสติกที่ทาทับลงไปจะติดได้ทนนาน

เคล็บลับ หากต้องการให้สีสันของลิปสติกติดทนนานกว่าเดิม ควรทารองพื้นให้ทั่วริมฝีปากก่อนทาลิปสติก


ขั้นตอนที่ 2 เขียนขอบปากเพื่อเน้นริมฝีปากให้เด่นชัดขึ้น ป้องกันไม่ให้สีลิปสติกซึมเลอะขอบปาก และในบางสถานการณ์ยังสามารถช่วยแก้ไขรูปทรงของปากได้ด้วย โดยเริ่มจากการเลือกดินสอเขียนขอบปากที่มีสีใกล้เคียงกับสีผิวปากตามธรรมชาติ หรือคล้ายกับสีลิปสติกที่จะทาให้มากที่สุด บรรจงใช้ดินสอเขียนไปตามรูปขอบปากตามธรรมชาติ ถ้ามือไม่นิ่งพอ ให้วางข้อศอกลงบนโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วค่อย ๆ เขียนจะช่วยได้มากเลยค่ะ หลีกเลี่ยงการเขียนขอบปากให้เลยออกมานอกริมฝีปากมากเกินไป เพราะเมื่อสีลิปสติกจางลง เส้นขอบปากจะเด่นจนน่าเกลียด ส่วนถ้าใครอยากวาดขอบปากเพื่อแก้ไขรูปปาก แนะนำว่า ถ้าอยากให้เรียวปากดูบางลง ให้เขียนขอบปากเลยเข้าไปในริมฝีปากเล็กน้อย แต่ถ้าอยากให้ปากดูเต็มอิ่มขึ้นก็วาดขอบปากให้เลยริมฝีปากจริงออกมา โดยเคล็ดลับที่ทำให้เส้นขอบปากไม่โดดจนเกินไปก็คือ ให้ใช้พู่กันทาปากแห้ง ๆ ไล้ไปตามเส้นขอบปากที่เขียนไว้ จะทำให้ขอบปากดูนุ่มขึ้นได้ในทันที และหากอยากให้สีลิปสติกติดทนนานยิ่งขึ้นก็สามารถใช้ดินสอเขียนขอบปากระบายให้ทั่วแทนลิปสติกได้ โดยตั้งดินสอให้ด้านข้างของเนื้อสีชิดกับริมฝีปากเพื่อให้ทาได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น ตบท้ายด้วยการใช้พู่กันจุ่มลิปบาล์มทาเคลือบริมฝีปากบาง ๆ เพื่อป้องกันปากแห้งแตก ส่วนดินสอแท่งใหญ่ที่ใช้ทาปากโดยเฉพาะ หรือที่เรียกว่า ชับบี้สติ๊ก (Chubby Stick) นั้น ไม่ควรนำมาใช้เขียนขอบปากเพราะมีส่วนผสมที่เป็นเนื้อครีมมากเกินไป ซึ่งจะทำให้ขอบปากเลอะเทอะได้ง่าย

เคล็ดลับ อากาศร้อน ๆ อย่างนี้จะทำให้เนื้อดินสอเขียนขอบปากนิ่มและหักง่าย ก่อนใช้ให้นำไปแช่ตู้เย็น หรือนำมาจุ่มน้ำเย็นสักครู่ จะช่วยให้เนื้อดินสอแข็งขึ้น

ขั้นตอนที่ 3 เลือกเนื้อและสีลิปสติกให้เหมาะกับตัวเอง หากอยากหาซื้อลิปสติกที่ถูกใจสักแท่ง สาว ๆ คงต้องคิดกันหลายตลบ เพราะลิปสติกมีมากมายหลายสีหลากเฉด แถมยังไม่รู้ว่าลิปสติกสีไหนชนิดใดกันแน่ที่เหมาะกับตัวเอง คำแนะนำเหล่านี้จะช่วยให้การเลือกลิปสติกเป็นเรื่องง่ายและสนุกขึ้นค่ะ

วิธีเลือกชนิดของลิปสติก


ลิปสติกเนื้อด้าน (Matte Lipstick) เหมาะกับการเน้นสีสันของริมฝีปาก เป็นชนิดที่ติดทนนานที่สุดเพราะมีส่วนผสมของแป้งในเปอร์เซ็นต์สูง แต่เมื่อทาแล้วปากจะแห้งมาก แต่ปัจจุบันมีการเปลี่ยนส่วนผสมของเนื้อลิปสติกจากแป้งมาเป็นโพลีเมอร์และซิลิโคน เพื่อช่วยให้ปากชุ่มชื้นขึ้น หรือลองผสมลิปสติกเนื้อด้านเข้ากับลิปบาล์ม อาจทำให้ติดทนนานน้อยลงไปบ้างแต่ริมฝีปากจะชุ่มชื้นมากขึ้น


ลิปสติกเนื้อประกาย (Shimmer Lipstick) เนื้อคล้ายลิปสติกแบบครีม แต่มีส่วนผสมของไมก้าและไททาเนียมไดออกไซด์ ที่มีคุณสมบัติสะท้อนแสงและเพิ่มประกาย ทำให้ริมฝีปากดูอวบอิ่มขึ้นและมีสีสันติดทนพอสมควร เป็นลิปสติกที่เหมาะกับฤดูร้อน

ลิปสติกเนื้อครีม (Cream Lipstick) สีแบบทึบแสงของลิปสติกชนิดนี้จะช่วยให้ริมฝีปากดูเต็ม อวบอิ่มและอ่อนเยาว์ เนื้อลิปสติกที่เนียนเรียบยังช่วยให้การทาปากสีเข้มดูอ่อนโยนและเย้ายวนขึ้น วิธีที่ดีที่สุดในการทาลิปสติกชนิดนี้คือ ทาชั้นแรกแล้วควรใช้กระดาษทิชชูซับริมฝีปากก่อน จากนั้นใช้พู่กันระบายทับลงไป วิธีนี้จะ
ช่วยให้สีสันติดทนนานขึ้นกว่าเดิม

ลิปสติกเนื้อบางใส (Sheer Lipstick) เนื้อบางเบาของลิปสติกชนิดนี้จะเผยให้เห็นสีของริมฝีปากจริง ทำให้ดูสวยเป็นธรรมชาติ ให้ความชุ่มชื้นสูง แต่จะไม่ติดทนนาน

ลิปกลอส (Gloss) จะช่วยให้ริมฝีปากเนียนนุ่มชุ่มชื้นและดูอ่อนเยาว์ ทั้งยังทำให้ปากเรียบเนียนได้ดีกว่าลิปสติกทั่วไป จะใช้ทาเดี่ยว ๆ เพื่อเน้นสีธรรมชาติของริมฝีปากเพียงอย่างเดียว หรือทาทับลงไปบนลิปสติกเพื่อเพิ่มความเงางามหรือเป็นไฮไลท์ก็ได้

วิธีเลือกลิปสติก

สีสันของลิปสติกมีหลายเฉด หลากโทน รวม ๆ แล้วก็มากมายหลายร้อยสี สิ่งสำคัญที่สุดในการตัดสินใจเลือกสีใดก็ตาม คือ อย่าให้แรงดึงดูดแห่งสีสันของลิปสติกเหล่านั้นมีพลังอำนาจมากกว่าตัวตนจริง ๆ ของเรา ควรจะเลือกสีลิปสติกที่บ่งบอกความเป็นตัวตนจริง ๆ ของเรามากกว่า



เลือกสีตามฤดูกาล

ในฤดูร้อนที่ทุก ๆ อย่างรอบตัวสะท้อนแสงแดดเป็นประกายเช่นนี้ ควรเลือกสีลิปสติกที่เป็นประกาย สดใส แวววาว เพื่อให้ดูสดชื่น มีชีวิตชีวา ยามต้องแสงแดดจ้า ส่วนเมื่อท้องฟ้าไม่ค่อยแจ่มใสนักตอนย่างเข้าฤดูฝน สีลิปสติกที่เหมาะกับสีเทาอึมครึมของท้องฟ้าคือสีชมพูอมม่วง สีน้ำตาลอมม่วง สีม่วงอ่อน หรือสีชมพูนู้ด ก็เหมาะเช่นกัน พอถึงฤดูหนาว สีสันทุกอย่างจะดูเคร่งขรึม โดยเฉพาะบนเวทีแฟชั่นที่สีสันจะเข้มข้นขึ้น หนักขึ้น เด่นชัดขึ้น สีลิปสติกจึงควรจะเข้มอย่างสีไวน์ แดงเบอร์กันดี ม่วงพลัม น้ำตาลช็อกโกแลต ให้เข้ากับสีผ้าทึม ๆ และเนื้อผ้าที่หนา หนัก
ขั้นตอนที่ 4 แต้มสีให้เรียวปากผู้หญิงส่วนใหญ่นิยมทาลิปสติกโดยตรงจากแท่งหรือใช้วิธีป้ายด้วยปลายนิ้ว แต่การทาลิปสติกที่ถูกต้องที่สุดคือการใช้พู่กันทาปากซึ่งเป็นเครื่องมือที่สำคัญมากสำหรับช่างแต่งหน้า เพราะนอกจากจะระบายสีได้สวยเสมอกันทั่วทั้งปากแล้ว ยังทำให้สีติดทนนานขึ้นด้วย เพราะพู่กันจะเกลี่ยสีได้อย่างพอเหมาะพอดี และยังเป็นผลพลอยได้ให้ประหยัดลิปสติกได้ด้วย นอกจากนี้ยังทำให้สีลิปสติกกับเส้นขอบปากที่วาดไว้ กลมกลืนกันได้อย่างเป็นธรรมชาติเคล็ดลับ ควรมีพู่กันทาปากแบบเก็บใส่ปลอกติดตัวไว้ เพื่อจะได้มีพู่กันสะอาด ๆ ไว้แต้มเติมเรียวปากได้ทุกเวลา ควรเลือกชนิดที่มีขนแปรงยาวประมาณ 8 มิลลิเมตร (1/3 นิ้ว) ซึ่งเป็นขนาดที่ไม่สั้นไม่ยาว เพื่อควบคุมการทาปากให้เที่ยงตรงที่สุด

วันจันทร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เคล็ดลับ.... ต่อต้านริ้วรอย

คุณเคยรู้สึกแปลกใจบ้างไหมว่าเหตุใดผู้หญิงบางคนจึงมีประกายความงามโดดเด่น สะดุดตาคุณเหลือเกิน ทั้ง ๆ ที่เธอผู้นั้นก็ไม่ได้มีใบหน้าที่สวยสมบูรณ์แต่อย่างใด อันที่จริงแล้วคุณเองก็สามารถเป็นอีกคนหนึ่งที่มีความงามโดดเด่นได้เช่นกัน เพียงเอาใจใส่และดูแลผิวอย่างสม่ำเสมอ

เคล็ดลับง่าย ๆ ของการมีผิวสวยใส ไร้ริ้วรอย คือ การรู้จักเลือกใช้ครีมบำรุงผิวอย่างเข้าใจ
เลือกใช้ครีมบำรุงผิวอย่างไรจึงจะดี
ครีมบำรุงผิวโดยทั่วไปจะมีองค์ประกอบหลัก คือ น้ำ น้ำมัน และสารอีมัลชั่น ซึ่งจะช่วยให้น้ำและน้ำมันเข้ากันเป็นเนื้อครีมอย่างที่เห็นโดยทั่วไป ครีมบำรุงผิวที่ดี เมื่อทาบนผิวหนังแล้ว เนื้อครีมควรจะเข้ากับผิวหนังได้ดี ไม่ทำให้รู้สึกเหนียวเหนอะหนะและเนื้อครีมควรกระจายได้ง่ายบนผิวหนัง ที่สำคัญต้องช่วยปกป้องผิวหนังได้นานหลายชั่วโมงในแต่ละวัน องค์ประกอบของน้ำมันต้องซึมซาบได้ดี สามารถซึมลึกสู่ผิวหนังกำพร้าชั้นลึกลงไปได้ ปัจจุบันจึงมีการเลือกสรรชนิดของน้ำมันที่จะให้ประโยชน์ต่อผิวหนังมากกว่าการเป็นเพียงน้ำมันที่เป็นสารหล่อลื่นผิวหนังธรรมดา เช่น น้ำมันโจโจ้บา น้ำมันจากดอกทานตะวัน น้ำมันจากผลแตงกวา และอื่น ๆ น้ำมันที่สกัดจากสมุนไพรธรรมชาติเหล่านี้ อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดที่เป็นประโยชน์ต่อเซลล์ผิวหนัง นอกจากนี้ครีมบำรุงผิวที่ดีควรจะมีอาหารเสริมให้แก่ผิวหนังอีกด้วย วิตามินชนิดต่าง ๆ รวมถึงสมุนไพรที่ได้รับการวิจัย ค้นพบและรับรองว่าปลอดภัย เช่น วิตามินเอ, วิตามินอี, วิตามินซี, โคเอ็นไซม์ Q10 เป็นต้น


วิตามินเหล่านี้ได้ชื่อว่าเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ หรือสารต้านการเกิดอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นสาเหตุของริ้วรอยแห่งวัย ซึ่งสารต้านการเกิดอนุมูลอิสระสามารถจำแนกได้เป็น 2 ชนิด คือ

1. สารแอนตี้ออกซิแดนท์ชนิดเอนไซม์ (Enzymatic Anti-Oxidants) ปกป้องเซลล์ที่อยู่ภายในร่างกาย ได้แก่ ซุปเปอร์ออกไซด์ ดิสมิวเทส (Super Oxide Dismutase - SOD) คาทาเลส (Catalase) กลูทาไทโอน เพอร์ออกซิเดส (Glutathione Peroxidases - GSHP) กลูทาไทโอน รีดักเทส (Glutathione Reductase) และกลูโคส-6-ฟอสเฟต ดีไฮโดรจีเนส (Glucose-6-Phosphate Dehydrogenase - G-6-PD)

2. สารแอนตี้ออกซิแอนท์ที่ไม่ใช่เอนไซม์ (Non-Enzymatic Anti-Oxidants) มีโมเลกุลขนาดเล็ก ทำงานได้ทั้งภายในและภายนอกเซลล์ แต่จะทำงานภายนอกเซลล์เป็นส่วนใหญ่ คือ ในเส้นเลือด และระหว่างชั้นเนื้อเยื่อ โดยแบ่งประเภทตามการละลายได้เป็น 2 ชนิด

2.1 ไฮโดรฟิลิก แอนตี้ออกซิแดนท์ (Hydrophilic Anti-Oxidants) คือ สารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ละลายในน้ำ เช่น กรดแอสคอร์บิกหรือวิตามินซี

2.2 ไลโพฟิลิก แอนตี้ออกซิแดนท์ (Lipophilic Anti-Oxidants) คือ สารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ละลายในไขมัน ได้แก่ อัลฟ่า โตโกฟิรอล (Alpha Tocopherol) หรือวิตามินอี, เบต้าแคโรทีน (Beta Carotene), ยูบีควิโนน-ยูบีควินอล (Ubiquinone-Ubiquinol) และรีดิวส์ กลูทาไทโอน (Reduced Glutathione - GSHR)

ผิวชั้นนอก
(Epidermis) มีปริมาณของสารแอนตี้ออกซิแดนท์มากกว่าผิวชั้นใน (Dermis) หลายเท่า เนื่องจากเป็นส่วนที่ปกคลุมร่างกายชั้นนอกสุด จึงต้องมีระบบต่อต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นปราการด่านแรกในการปกป้องผิวจากมลภาวะต่าง ๆ

คุณสมบัติสำคัญของสารแอนตี้ออกซิแดนท์ในอุดมคติที่นักวิทยาศาสตร์คิดค้นเพื่อนำมาใช้ผสมในครีมบำรุงผิวต่อต้านริ้วรอย

1. มีหน้าที่สำคัญทางสรีรศาสตร์ต่อผิวหนัง
2. สามารถต่อต้านอนุมูลอิสระได้หลายชนิด
3. หาง่าย ไม่เป็นพิษและไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคือง
4. ดูดซึมทางผิวหนังได้ดีในรูปของสารออกฤทธิ์
5. ผลิตภัณฑ์มีความคงตัว
6. ไม่เกิดการสันดาปกับออกซิเจนได้ง่าย ๆ ในบริเวณส่วนของผิวที่ต้องการการซ่อมแซมและปกป้อง

วิตามินซี (Ascorbic Acid) ทำหน้าที่กำจัดอนุมูลอิสระและเป็นองค์ประกอบร่วมของเอนไซม์ต่าง ๆ ที่ช่วยเสริมสร้างคอลลาเจน เช่น เอนไซม์เฟอร์ริกและคิวปริกเมทัลเลี่ยนส์ (Ferric/Cupric Metalions Enzymes) ในขณะเดียวกันวิตามินซียังสามารถทำปฏิกิริยากับอนุมูลอิสระได้หลายชนิด มีความเป็นพิษต่ำ และเป็นตัวดึงวิตามินอีมาจากโตโกฟิรอลแรดิคัลได้ แต่ข้อด้อยของวิตามินซี คือ ถูกทำลายได้อย่างรวดเร็วเมื่อถูกแสง ความชื้น ออกซิเจน ความร้อน และด่าง
ร่างกายต้องการวิตามินซีประมาณวันละ 60 มก. ส่วนผู้หญิงมีครรภ์และผู้สูบบุหรี่ต้องการมากขึ้นเป็นประมาณวันละ 140 มก. อาหารที่มีวิตามินซีสูง ได้แก่ ผลไม้รสเปรี้ยวและผักใบเขียว การรับประทานวิตามินซีค่อนข้างปลอดภัย เนื่องจากวิตามินซีละลายในน้ำได้ วิตามินซีที่รับประทานเข้าไปจะไปอยู่ในผิวชั้นนอกมากกว่าผิวชั้นในถึง 5 เท่า และมีผลในการช่วยลดปริมาณอนุมูลอิสระในผิว ช่วยสมานแผล ชะลอการร่วงโรยของผิว และป้องกันการเกิดมะเร็งผิวหนัง

วิตามินซีส่วนใหญ่อยู่ในรูปของกรดแอล-แอสคอร์บิก (L-Ascorbic Acid) ได้แก่ แอสคอร์บิลพาลมิเทต และแอสคอร์บิลฟอสเฟต ซึ่งแอสคอร์บิลฟอสเฟตเป็นวิตามินซีที่ละลายน้ำได้ดีและคงตัวอยู่ได้นานถึง 6 เดือน จึงมีผู้นำมาใช้เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์หลายชนิด ส่วนแอสคอร์บิลพาลมิเทตนั้นละลายได้ทั้งในน้ำและไขมัน จึงใช้เป็นส่วนผสมในครีม โลชั่น และน้ำมัน ข้อดีของสารตัวนี้คือมีค่า pH หรือค่าความเป็นกรด-ด่าง ที่เป็นกลางจึงไม่ระคายเคืองต่อผิว

จากการทดสอบพบว่า การทาวิตามินซีบนผิวสามารถลดอาการบวมแดงหรืออาการไหม้จากแสงแดดได้ โดยหากผสมวิตามินอี ลงไปด้วยก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ได้ผลใกล้เคียงกับครีมกันแดดที่มีออกซิเบนโซนเป็นส่วนประกอบ และหากใช้วิตามินซี วิตามินอี และออกซิเบนโซน ร่วมกันก็จะสามารถป้องกันภาวะพิษจากแสงแดดได้เกือบ 100% อย่างไรก็ตาม วิตามินซีไม่สามารถป้องกันการหย่อนยานของผิวได้ รวมทั้งยังไม่มีผลการศึกษาและทดสอบกับคนจำนวนมาก เพื่อยืนยันว่าวิตามินซีมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใดในเรื่องดังกล่าว
วิตามินอี (Alpha-Tocopherol) วิตามินอีประกอบด้วยโทโคฟีโรลส์ (Tocopherols) และโทโคเทรียโนลส์ (Tocotrienols) ซึ่งพบในผัก น้ำมันพืช เมล็ดพืช ข้าวโพด ถั่ว แป้งสาลี เนยเทียม เนื้อสัตว์ และนม วิตามินอีเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์สำคัญในพลาสม่าและเม็ดเลือดแดงที่ช่วยปกป้องสารประกอบไขมัน (Lipid) ในเนื้อเยื่อเซลล์จากอนุมูลอิสระ จากการศึกษาพบว่า ผิวหนังบริเวณที่มีต่อมไขมันมาก เช่น ใบหน้า มีปริมาณวิตามินอีมากกว่าผิวหนังบริเวณแขนถึง 20 เท่า เนื่องจากต่อมไขมันคือ ช่องทางสำคัญในการนำวิตามินอีสู่ผิวหนัง วิตามินอีสามารถละลายได้ในไขมัน ทนความร้อนและความเป็นกรด-ด่างได้ดี แต่จะเสื่อมสภาพเมื่อสัมผัสกับแสงและออกซิเจน

ร่างกายสามารถรับวิตามินอีได้ถึงวันละ 3,000 มก. อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานโดยไม่เป็นอันตราย แต่สำหรับผู้ที่มีอาการของความดันโลหิตและเบาหวาน ไม่ควรใช้ในขนาดสูงกว่า 4,000 มก. และพบว่ายาระบายและยาคุมกำเนิดมีฤทธิ์ต้านวิตามินอีด้วย วิตามินอีมีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องการรักษาความเยาว์วัยของผิว คือ ช่วยในเรื่องการสร้างตัวของเซลล์ใหม่ การทำงานของต่อมและฮอร์โมน รวมทั้งการซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายไป การขาดวิตามินอี ทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดงเปราะ แตกง่าย และคอลลาเจนที่ผิวหนังลดลง จึงเกิดเป็นริ้วรอย และมีการสะสมของไขมันอย่างผิดปกติ

ผลการทดลองพบว่า วิตามินอี สามารถลดอาการไหม้จากแสงแดด ช่วยลดริ้วรอย และทำให้ผิวอ่อนนุ่มขึ้น ในการทดลองเกี่ยวกับมะเร็งผิวหนัง การทาและการรับประทานวิตามินอีจะช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็งในสัตว์ทดลองได้ ส่วนการรับประทานวิตามินเอและวิตามินอีอย่างสม่ำเสมอ ก็สามารถลดอัตราเสี่ยงในการเกิดเซลล์มะเร็งขั้นพื้นฐานได้ถึง 70% และพบด้วยว่า การรับประทานวิตามินอีวันละ 400 มก. ในผู้ที่เป็นแผลในกระเพาะอาหารจะทำให้แผลหายเร็วกว่ากลุ่มที่ใช้ยาหลอก แต่การทาวิตามินอีกลับไม่มีผลต่อความหนาและสภาพของแผลเป็น

วิตามินเอ (Retinol)พบมากในพืชที่มีสีเขียวและเหลือง ไข่แดง เนย ตับ และน้ำมันตับปลา ร่างกายจะสะสมวิตามินเอไว้ในตับ วิตามินเอจะออกฤทธิ์เมื่อแปรสภาพเป็นกรดเรติโนอิก แต่จะเสื่อมสภาพจากแสง ออกซิเจน และค่า pH ที่เปลี่ยนแปลง สารธรรมชาติและอนุพันธ์สังเคราะห์จากวิตามินเอนั้นเรียกรวม ๆ ว่า เรตินอยด์ (Retinoids) เรตินอยด์ เป็นสารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายหลายอย่าง อาทิ ช่วยควบคุมการเจริญเติบโต แยกความแตกต่างของเซลล์บุผิว ชะลอการขยายตัวของเซลล์มะเร็ง ลดอาการอักเสบ กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันโรค กระตุ้นการซ่อมแซมผิวหนังที่ถูกทำลายจากแสงแดด ช่วยยับยั้งกระบวนการสร้างเอนไซม์เมทาลโลโปรตีเนส (Metallo Proteinase Enzyme) ที่เป็นตัวการในการสลายคอลลาเจน นอกจากนี้ยังช่วยกระตุ้นการเสริมสร้างคอลลาเจนอีกด้วย การทาเรตินอยด์จะช่วยลดริ้วรอย ทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น กระ ฝ้า จางลง ลดจำนวนและขนาดของแอคตินิค เคราโตส (Actinic Keratoses)

สารตั้งต้นของวิตามินเอ ทำหน้าที่ต่อต้านอนุมูลอิสระและปกป้องเนื้อเยื่อเซลล์จากอนุมูลอิสระไลพิดเพอร์ออกไซด์ (Lipid Peroxidation) พบมากในผักใบเขียว แครอท มันฝรั่งหวาน แคนตาลูป เนื้อสัตว์ เนย และเนยแข็ง และถูกดูดซึมสู่ร่างกายได้ดีเมื่อรับประทานร่วมกับอาหารที่มีไขมัน

ในการทดลองกับสัตว์พบว่า เบต้าแคโรทีน สามารถยับยั้งมะเร็งผิวหนังที่เกิดจากแสงแดด แต่ประสิทธิภาพนี้ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ในคน เราสามารถรับประทานเบต้าแคโรทีนได้ถึงวันละ 180 มก. โดยไม่เป็นอันตราย แต่หากรับประทานมากกว่า 30 มก. ติดต่อกันเป็นเวลานานอาจทำให้ผิวเป็นสีเหลืองได้
วิตามินบี 3 (Niacinamide)วิตามินที่ละลายในน้ำ พบในเนื้อเยื่อ ทำหน้าที่เผาผลาญสารอาหารเพื่อให้พลังงานแก่ร่างกาย มีคุณสมบัติในการสร้างคอลลาเจน เพิ่มอัตราการผลัดตัวของเซลล์ผิวเก่า และกระตุ้นการสร้างฟิแลกกริน (Filaggrin) และอินโวลูกริน (Involucrin) มีความคงตัวสูงเมื่อถูกแสง ออกซิเจน และความร้อน สามารถทำงานร่วมกับวิตามินอีได้ดี

โคเอ็นไซม์ คิวเท็น และ โค คิวเท็น ยูบีควิโนน (Co-Enzyme Q10, Co Q10 Ubiquinone) โคเอ็นไซม์ คิวเท็น เป็นโมเลกุลเล็ก ๆ ที่มีอยู่ในเซลล์ของร่างกายตามธรรมชาติ ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกเมื่อ 40 ปีมาแล้ว หลังจากนั้นก็ได้มีการใช้โคเอ็นไซม์ คิวเท็นกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งทำหน้าที่สำคัญในกระบวนการเผาผลาญเปลี่ยนสารอาหารให้เป็นพลังงาน พบมากในอวัยวะที่มีการเผาผลาญสูง ได้แก่ หัวใจ ไต และตับ หากขาดคิวเท็น เซลล์จะเสื่อมสภาพ เป็นผลให้ผิวพรรณทรุดโทรมและเกิดริ้วรอยก่อนวัย ส่วนยูบีควินอลซึ่งเป็นรูปลดทางเคมีของยูบีควิโนน มีคุณสมบัติเป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ละลายในไขมันเพียงชนิดเดียวที่ร่างกายสร้างขึ้นมาได้เอง จะพบยูบีควินอลในบริเวณผิวหนังชั้นนอกมากกว่าผิวชั้นในถึง 10 เท่า

ในการทดสอบบนเซลล์ผิวหนังมนุษย์ โคเอ็นไซม์ คิวเท็น สามารถป้องกันการสันดาปจากแสงยูวีเอ ช่วยชะลอความเสื่อมตามธรรมชาติ ให้เซลล์สร้างเส้นใยด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ เพิ่มระดับของกรดไฮยาลูโรเนทที่ให้ความชุ่มชื้นในผิวชั้นใน ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ในเคราติโนไซด์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของผมและเล็บ มีความระคายเคืองต่ำแม้จะใช้ในปริมาณความเข้มข้นสูง สามารถใช้ในผิวบอบบาง แต่อาจมีอาการคันยิบ ๆ รอบจมูกเมื่อใช้ร่วมกับเครื่องสำอางบางชนิด อย่างไรก็ตาม จากการทดลองกับหนู พบว่า โคเอ็นไซม์ คิวเท็น ไม่ได้ช่วยยืดอายุ และไม่มีผลต่อการสะสมตัวของกระสีที่เกิดจากไขมันในเนื้อเยื่อซึ่งพบในสิ่งมีชีวิตที่อายุมากแล้ว จากการทดลองทาโคเอ็นไซม์ คิวเท็น สังเคราะห์รอบดวงตาของอาสาสมัคร พบว่าสามารถลดรอยย่นรอบดวงตาได้ ในปัจจุบันมีการนำโคเอ็นไซม์ คิวเท็นมาใช้เป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์เพื่อป้องกันและรักษาโรคหลายชนิด รวมทั้งชะลอความแก่

ซุปเปอร์ออกไซด์ ดิสมิวเทส (Super Oxide Dismutase - SOD)เป็นเอ็นไซม์ชนิดหนึ่งในระบบป้องกันที่เป็นตัวทำลายอนุมูลอิสระที่เกิดจากการเผาผลาญภายในของร่างกาย จากการทดลองพบว่า การเลี้ยงหนอนปกติด้วยสารสังเคราะห์ที่คล้ายกับซุปเปอร์ออกไซด์ ดิสมิวเทส จะช่วยยืดอายุได้ถึง 44% และในหนอนที่แก่เร็วกว่าปกติจะช่วยยืดอายุได้ถึง 67%

สารประกอบฟลาโวนอยด์ (Flavanoids Compounds)สามารถยับยั้งเอ็นไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างอนุมูลอิสระ เช่น แซนทีน ออกซิเดส
(Xanthine Oxidase) และไลโปเปอร์ออกซิเดส (Lipo Peroxidase) นอกจากนี้ยังสามารถต่อต้านอนุมูลอิสระและปกป้องการแตกตัวของดีเอ็นเอ (DNA) ได้ด้วย สารในกลุ่มนี้ ได้แก่ รูติน (Rutin) พีโนจีนอล (Pynogenol) เควอเซติน (Quercetin) แคทเทชิน (Catechin) และแนรินกิน (Naringin) โดยที่สารรูตินและเควอเซติน มีความสามารถในการต่อต้านอนุมูลอิสระมากกว่าวิตามินซีถึง 10 เท่า รูตินและกรดโคลโรเจนิก (Chlorogenic Acid - CGA) พบมากในใบยาสูบ ส่วนพีโนจีนอลหรือวิตามินพี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ทนความร้อนได้ดี สกัดได้จากเปลือกสน (French Maritime Pine) และเมล็ดองุ่น

นอกจากวิตามินที่ผ่านการทดสอบมาอย่างมากมายแล้ว สมุนไพรไทย ๆ เช่น ว่านหางจระเข้ หรืออโลเวร่า ก็นับเป็นสมุนไพรหลักในวงการวิทยาศาสตร์ทั่วไปว่ามีประโยชน์มหาศาลต่อผิวหนัง มีคุณสมบัติคล้ายคลึงกับวิตามินอีธรรมชาติ คือ ช่วยกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ในผิวหนังชั้นลึกที่สุดของหนังกำพร้า มีผลทำให้ช่วยสมานแผล รวมถึงการใช้ทารักษาแผลน้ำร้อนลวก แผลเป็น ฯลฯ และมีการวิจัยพบว่า ส่วนผสมของวิตามินอี คือ ดีแอล-แอลฟ่า-โทโกเฟอรอล (DL-Alfa-Tocopharol) ร่วมกับอโลเวร่า ในครีมบำรุงผิวจะช่วยป้องกันผิวหนังจากดวงอาทิตย์ได้อีกด้วย

ควรใช้ครีมบำรุงผิวบ่อยแค่ไหน

การใช้ครีมบำรุงผิวควรใช้อย่างสม่ำเสมอ เชน ทุกครั้งที่อาบน้ำชำระร่างกาย เป็นการป้องกันไม่ให้ผิวหนังแตกเป็นขุย บางคนผิวแห้งแตกเป็นขุยและมีอาการคันร่วมด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน้าหนาว มักจะเกิดการคันสาเหตุจากผิวหนังแห้งมากนั่นเอง การใช้ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของวิตามินธรรมชาติและสารสกัดจากสมุนไพรก็จะช่วยเพิ่มประโยชน์และคุณค่าต่อผิวหนังมากยิ่งขึ้น

หากคุณรู้จักวิธีเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเอาใจใส่อย่างสม่ำเสมอดีแล้ว คราวนี้ตำแหน่งสาวงาม สวย สะดุดตา จะเป็นของคุณบ้างอย่างไม่ไกลเกินเอื้อมแน่ ๆ...